Skip to main content

แตกแยก หรือ แตกต่าง กับแนวทางกำจัดเสี้ยนหนามแผ่นดินโดยธรรม

คอลัมน์/ชุมชน

เมื่อการชุมนุมทางการเมืองของ "เครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" ขยายตัวทั้งปริมาณและคุณภาพขึ้นมาสู่ระดับการเคลื่อนขบวนของ "มหาชน" ซึ่งด้านหนึ่งมีความแตกต่างหลากหลายของผู้เข้าร่วม ขณะเดียวกัน ก็มีความมุ่งมั่น และจุดยืนที่ชัดเจน ต่อเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ของการชุมนุม ตลอดจนมีข้อเรียกร้องร่วมกันอย่างมีเอกภาพ ทั้งระดับบุคคลผู้เข้าร่วม และกลุ่ม, องค์กรพันธมิตร


 


ดังจะพบเห็นได้จากการติดตามเจาะลึกของสื่อมวลชน ที่พยายามสอบถามในลักษณะสอบทาน หรือตรวจสอบที่มาที่ไปของผู้เข้าร่วมชุมนุมอยู่เสมอ และปรากฏข้อมูลต่อสาธารณะตลอดมา ว่าผู้เข้าร่วมชุมนุมของฝ่ายพันธมิตรนั้น "รู้ตัวดี" และ "มีความตั้งใจสูง" ตลอดจน "มีจิตสำนึก" และ "มีความเสียสละ" เพื่อวัตถุประสงค์หลักของการชุมนุม ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องในระดับ "โครงสร้าง" และสิ่งที่เป็น "ประโยชน์สาธารณะ" มากไปกว่าการเรียกร้อง หรือการแสดงท่าทียืนยันจะเรียกรับผลประโยชน์ในระดับกลุ่มอาชีพ หรือมุ่งหวังมูลค่าต่างตอบแทนจากรัฐ หรือจากพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง


 


ด้วยเหตุดังกล่าวกระมัง ที่ทำให้ฟากผู้ได้รับผลกระทบ จากการชุมนุมของฝ่ายพันธมิตรฯ หรือมีแนวโน้มจะสูญเสียผลประโยชน์ ทั้งด้านอำนาจรัฐ ตลอดจนสวัสดิการอื่นๆ ที่ตนเกี่ยวข้อง หรือตนเชื่อว่าได้มี หรือน่าจะได้มา เพราะ "ฝีไม้ลายมือ" นายกฯทักษิณ ได้พยายามจัดให้มี หรือผลักดันให้มี "ปฏิบัติการเลียนแบบ" คู่ขนานไปกับกิจกรรมของเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อยื้อยุดสิ่งที่ตนเคยได้ หรือคาดหวังว่าการกระทำเช่นนั้น จะมีผลต่อสิ่งที่ตน "น่าจะได้" จนต่อมาก็ประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง ในการชี้นำสังคม จนปรากฏเป็นข่าวอย่างต่อเนื่อง ว่าการชุมนุมนั้น มีทั้งฝ่ายเห็นด้วยกับนายกฯ และคัดค้านหรือขับไล่นายก มิหนำซ้ำยังมีท่วงทำนองการกดดันสื่อ ด้วยข้ออ้างว่า "เพื่อความเป็นธรรม" สื่อมวลชนต้องมีการ "เสนอข่าวทั้ง ๒ ด้าน" และต้องนำเสนอให้ "เท่าเทียมกัน"


 


ทั้งที่จะว่าไปแล้ว จะมากจะน้อย ก็ทราบกันดี ว่าอะไรแท้ อะไรเทียม อะไรเรียกร้องเพื่อประโยชน์สาธารณะ อะไรเรียกร้องเข้ากระเป๋า - เข้าหม้อข้าวตัวเอง และ/หรือ "หม้อข้าว" ของนายเหนือหัว


 


แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาคงมิใช่จะมีเพียงแค่ "ใครรักใคร" หรือ "ใครชังใคร" ในระดับบุคคล และ/หรือ "การแก้ไข-ปรับปรุง" ว่าจะต้องปฏิรูป หรือเปลี่ยนแปลงอย่างไร ในระดับโครงสร้าง เพียงด้านเดียว หรือเป็นด้านหลัก


 


ปัญหาที่สำคัญยิ่งอีกประการหนึ่ง คงอยู่ที่ว่า ถึงที่สุดแล้วเรื่องราวเหล่านี้จะจบลงอย่างไร และจะส่งผลเช่นไร ในระยะใกล้, ปานกลาง และระยะยาว เสียมากกว่า...


 


เพราะเอาเข้าจริง นอกจาก "ปฏิบัติการเอาชนะคะคานทางการเมือง" แล้ว ถึงบัดนี้ ถึงเวลานี้ ในสถานการณ์เช่นที่เป็นอยู่นี้ มีใครพอจะอธิบายได้บ้างไหม ว่า "รัฐบาลรักษาการ" (หรือรัฐบาลเดียวกันนี้ก่อนยุบสภา) ที่นำโดยนายกรัฐมนตรีชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้กระทำสิ่งใดในลักษณะ "แก้ไขปัญหา-เยียวยาประเทศชาติ" อยู่บ้างหรือไม่? นอกเหนือไปจาก "ปฏิบัติการเอาคืนชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน" หรือเมื่อจวนตัว จำนนต่อหลักฐานและสถานการณ์บังคับ ก็ออกอาการสัมภเวสี ที่เร่ร่อนจรจัดไม่กล้าเข้าใกล้ทำเนียบฯ ในระยะแรก แล้วค่อยแก้ผ้าเอาหน้ารอด ว่าใช้เวลาระหว่างนั้นไปตรวจราชการ (แกมหาเสียง) ตลอดจนที่ถึงกับยกเลิกกำหนดการเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อไปไหว้กระดูกบรรพบุรุษ และสะเดาะเคราะห์ เพราะถูกแม่ค้าด่ากลางวันแสกๆ แล้วโดนเล่นงานด้วยคุณไสยกลางทาง ๓ แพร่งยามดึกสงัดซ้ำเข้าไปอีก ด้วยเวลาไล่เลี่ยกัน


 


กล่าวให้ชัดก็คือ ในเวลานี้รัฐบาลรักษาการ ยังอยู่ในภาวะการปฏิบัติหน้าที่ราชการปกติ หรืออยู่ในภาวะการมุ่งใช้อำนาจรัฐทั้งหมดทั้งปวงที่มีอยู่ ไปกับการยืดเวลารักษาอำนาจ และค้ำยันสถานะทางการเมืองของตนเองและพวกพ้อง ด้วยวิธีการทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่เว้นแม้แต่วิธี "ปั่นจิ้งหรีดการเมือง" ให้กัดกัน


 


ความรุนแรงล่าสุดที่เกิดขึ้นหน้าอาคารสำนักงาน เครือเนชั่น - คม ชัด ลึก และที่เกิดในบริเวณเวทีปราศรัยทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ ที่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จึงมิได้เป็นเพียง "ความแตกต่างทางความคิด-ทางการเมือง" อีกต่อไป หากได้แปรเปลี่ยนเป็น "ความแตกแยกขนานใหญ่" ไปเสียแล้ว


 


เพียงเพราะประเทศนี้มีรัฐบาลอ่อนหัด มีนายกรัฐมนตรีขาดวุฒิภาวะ ปราศจากความเป็นผู้นำ มิหนำซ้ำยังมีคณะที่ปรึกษา-คณะกุนซือ ที่มุ่งผลชนะระยะสั้น โดยมิได้คำนึงถึงผลเสียหายในระยะยาวของชาติของประชาชน จนไม่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ใดๆ ได้ จนคล้ายกับว่า "แก๊งการเมือง" กลุ่มนี้ จะอาศัยตำแหน่งหน้าที่รอเวลาให้เกิดความตึงเครียดที่สุด แล้วดูว่าตนจะหยิบฉวยสิ่งใดได้บ้าง ก่อนใช้กำลังกายกำลังทรัพย์ ถีบส่งตัวเองกับพวกพ้อง "สละรัฐนาวา- -เรือรั่ว" ขึ้นฝั่งไปพร้อมกับเงินทองโภคทรัพย์ ที่พากันสะสมเบียดบังไปจากผลประโยชน์ส่วนรวมเมื่อครั้งยังครองอำนาจ


 


ที่ว่ามานี้ ไม่ใช่กล่าวอ้างขึ้นมาลอยๆ หากเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ในการแก้ปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงโดยวิธีการ "แก้ปัญหา" ทำนองเดียวกันนี้เอง จนสถานการณ์ยกระดับขึ้นสู่ภาวะสงคราม ต้องประกาศภาวะฉุกเฉินและใช้กฎอัยการศึก มีความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนบนแผ่นดินไทยอย่างเหลือคณานับ


 


หรือแม้กระทั่งแนวทางการกระตุ้นเร้าเศรษฐกิจ จนฐานะการเงินการคลังของประเทศอยู่ในภาวะหีบรั่ว ต้องรอเงินภาษีจากกระเป๋าสตางค์จากประชาชนอยู่เป็นคราวๆ ไป ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว


 


ดังนั้น หากก่อนหน้านี้ "เครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" และประชาชนผู้รักความเป็นธรรม ได้ตั้งเข็มมุ่งอยู่ที่การกำจัดผู้นำไร้จริยธรรม ไร้คุณธรรมคนหนึ่ง ให้พ้นไปจากตำแหน่งแห่งที่ทางการเมือง ถึงบัดนี้ ดูเหมือนกับว่า ข้อเรียกร้องเช่นนั้นจะไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว เพราะจากพฤติกรรมที่ปรากฏ จะพบได้โดยไม่ยากเย็นนัก ว่า "แก๊งไทยรักไทย" ตลอดจนผู้สนับสนุน ทั้งนายทุนและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสมุนบริวารจำนวนไม่น้อย ควรที่จะถูกชำระความผิดตามกระบิลเมือง ตามกระบวนการยุติธรรม และตามจารีตประเพณี ตลอดจนวัฒนธรรมการปกครอง ทั้งของไทยที่มีมาแต่เดิม และของนานาอารยประเทศ เพื่อหาตัวผู้รับผิดชอบมาลงโทษตามโทษานุโทษให้จงได้ และให้ถึงที่สุด


 


อย่างน้อยก็เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง หรือเป็นช่องทางแก่ผู้ที่รู้เห็น หรือผู้ที่กำลังเติบโตขึ้นไปในวันข้างหน้า ว่าเพียงแค่มีเงินทองทรัพย์สินไม่กี่หมื่นกี่แสนล้านบาท ก็สามารถกำเริบเสิบสานคิดการใหญ่ ยึดครองและนำพาประเทศไทย ซึ่งหมายถึงทั้งชาติประชาชนเข้าสู่วังวนความวิบัติ ซึ่งที่สุดแล้ว แม้จะมีโทษถึงชีวิต ตลอดจนริบทรัพย์ จับกุมคุมขัง นำสมบัติชาติทั้งหมดคืนแก่แผ่นดิน ก็ใช่ว่าจะเพียงพอ หรือเหมาะควรแก่ความเสียหายที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดิมมา


 


ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น ว่านี่มิใช่เพียงปัญหาความขัดแย้งระหว่างบุคคล, ความแตกต่างทางความคิด หรือความแตกต่างทาง อุดมคติ-อุดมการณ์ทางการเมือง อีกต่อไป หากคือความวิปริตผิดพลาด และคลาดเคลื่อนไปจากทำนองคลองธรรม เพราะผู้นำประเทศและสมุนบริวาร ตลอดจนเหลือบเหาเห็บหมัด ที่รวมตัวกันด้วย อวิชชา-มิจฉาทิฏฐิ กระทำย่ำยีต่อประเทศชาติและประชาชน ในแผ่นดินซึ่งบรรพบุรุษทุกหมู่เหล่าชนชั้นเคยปกปักรักษามาด้วยเลือดเนื้อและชีวิต


 


ความแตกต่างนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ ภายใต้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติอันยึดโยงและถักทอขึ้นด้วยความหลากหลาย ตลอดจนการพึ่งพิงอิงอาศัย อย่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน แต่ในความแตกต่างเหล่านั้น สรรพสิ่งย่อมสมดุลย์อยู่ด้วยการพึ่งพาอาศัย ชนิดที่ไม่เอาเปรียบ หรือสูบเลือดสูบเนื้อ เฉกเช่นมะเร็งร้าย ที่มุ่งบ่อนเซาะทำลายดุลยภาพโดยรวมของผู้ป่วย อย่างมิได้คำนึงถึงความเสียหายใดๆ เลย


 


พระพุทธองค์และพระศาสดาต่างๆ ล้วนมี "ธรรมาวุธ" ที่จะกำจัดหรือชำระความไม่ถูกต้อง เพื่อให้ "ทำนองครองธรรม" ดำเนินไปดั่งที่ควรจะเป็น อย่างที่สามารถกำจัดอวิชชาและมิจฉาทิฏฐิ อันเป็นเครื่องมือหรืออาวุธของพญามารให้พินาศย่อยยับไปได้ในที่สุด


 


เราทั้งหลายในฐานะสาวกหรือศาสนิกชนก็ควรมิใช่หรือ ที่จะใช้ "ปัญญา" และ "ความรัก" ปฏิบัติต่อเสี้ยนหนามแผ่นดินด้วย "เมตตา" และ "สันติ" แต่มีความเฉียบขาดและชัดเจน ในการแก้ปัญหาอย่างจริงจังและฉับไว จนสามารถนำคนผิดมาลงโทษได้ และร่วมมือกันทำให้เกิดความสงบสุขอย่างยั่งยืน โดยมิได้ชิงชังรังเกียจผู้ใดเป็นส่วนบุคคล


 


นี่มิใช่เรื่องสร้างความแตกแยก แต่เป็นเรื่องกำจัดเสี้ยนหนามแผ่นดินโดยธรรม...