Skip to main content

14 ตุลา ถึง มีนาทะมึน

คอลัมน์/ชุมชน


ปี 2516 ฉันอยู่ ป.1 ตอนนั้นที่บ้านไม่มีโทรทัศน์ มีเพียงวิทยุทรานซิสเตอร์ ที่ใช้รับฟังข่าวจากวิทยุ AM ยังจำได้ว่านอนกระดิกเท้าฟังข่าวอยู่บนเตียงนอนของก๋ง ได้ยินผู้ใหญ่พูดกันว่าปฏิวัติอีกแล้ว มีความรู้สึกว่าน่ากลัว



 


หลังจากนั้นอีกไม่นาน ก็มีสิ่งน่ากลัวกว่าสำหรับเด็ก ๆ คือ คอมมิวนิสต์ บ้านฉันอยู่ติดภูเขาที่เป็นที่หลบซ่อนของคอมมิวนิสต์  หรือผู้ก่อการร้าย พวกเขาอยู่บนนั้น ฉันอยู่ที่ราบตีนดอย วันดีคืนร้าย โรงเรียนใกล้บ้านนำลูกเสือไปเข้าค่ายในป่า ก็โดนระเบิด เด็ก ๆ บาดเจ็บ  บางวันมีเฮลิคอปเตอร์ บินมาลงหน้าโรงเรียน ซึ่งอยู่ติดกับโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ฉันวิ่งไปดูเห็นรอยกระสุนที่ตัวเครื่องบิน เขานำทหารบาดเจ็บลงมาส่งโรงพยาบาล บางค่ำคืนเราต้องรีบปิดบ้าน เพราะเสียงปืนใหญ่ของการต่อสู้ดังก้องมาจากภูเขาในความมืด


 


เด็กบ้านนอกไม่กลัวไส้เดือนตุ๊กแก แต่ถ้าโดนขู่ว่าเดี๋ยวคอมมิวนิสต์จับไป โลกราวหยุดหมุนเลยทีเดียว ยังไม่นับเรื่องเล่าความโหดร้ายทารุณแบบคอมมิวนิสต์จีน ที่จับคนฝังดินทั้งเป็นแล้วยื่นแต่หัวพ้นดินออกมา เหมือนหนังไทยสมัยนั้น


 


โตขึ้นมาเรียน ม.ช. เจอพี่ ๆ ที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์เก่า และเคยอาศัยอยู่บนดอยแถวบ้านฉัน เราเหมือนคนบ้านเดียวกันไงไม่รู้ เมื่อแลกเปลี่ยนเรื่องราวว่าฉันวิ่งเล่นอยู่ในตลาดแถวนั้น มีพ่อเป็นครู เขาดันบอกว่า พ่อฉันเป็นคอมมิวนิสต์ เขาบอกพวกครูนี่แหละคอยส่งน้ำตาล เกลือให้คนในป่า โอ๊....เป็นงั้นไป


 


หลัง 6 ตุลา พี่ชายไปเรียนราม กลับบ้านมาแต่ละครั้ง เขาจะนำเทปเพลงคาราวาน คนกับควาย นกสีเหลือง และเพลงของวงแฮมเมอร์ กลับมาฟังที่บ้าน ฉันเปิดฟังด้วยความตื่นใจ เพลงอะไรหนอ ทำไมเนื้อหาไม่เหมือนเพลงลูกทุ่งที่ฟังในวิทยุ ไม่เป็นเพลงรักหวานแหววอย่างวงชาตรี ไม่สนุกเหมือนเพลงวัวหาย และทันใดนั้น พ่อก็เดินมาปิดเพลงและยกเทปไปเก็บไว้ ด้วยความกลัวว่าตำรวจจะจับ  เพลงคอมมิวนิสต์ อย่าไปฟัง บ้านเราอยู่ในตลาด คนเดินผ่านไปมาก็จะได้ยิน !


 


พื้นที่สีชมพู ฟังดูหวานแหวว แต่เมื่อยี่สิบปีที่แล้วพื้นที่สีชมพูเป็นคำพูดที่น่าหวาดกลัว  ผู้คนต้องระมัดระวังตัว เราไม่มีโอกาสได้เที่ยวเหมือนปัจจุบัน เพราะไปน้ำตกทีก็ต้องเล่นน้ำอย่างกลัว ๆ   ทุกวันนี้พ่อออกจากบ้านก็ยังพกปืนติดรถ  ไม่เข้าใจเหมือนกัน


 


คนบ้านนอกจะหวาดกลัวรัฐบาล และผู้มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ  เป็นความรู้สึกที่สั่งสมมาจนนำออกไปไม่ได้ ทุกวันนี้ฉันทำงานอยู่ในสถานที่ล่อเป้า สีชมพูเหมือนบ้านเดิมไม่มีผิด เจ้าของสถานที่มีแนวคิดทางการเมืองชัดเจน เธอเป็นชาวเชียงใหม่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับนายกรัฐมนตรี  เธอขยับตัวแต่ละครั้ง กระทบถึงดวงดาว ดวงจันทร์ และสวนสัตว์


 


ช่วงแรก ๆ ฉันคุยกับแม่บ้าง ถึงแนวคิดทางการเมือง และความเห็นของฉัน แม่แสดงความเห็นห่วงใยฉันอย่างออกนอกหน้า โทรมาแล้วโทรมาอีก ว่าเราอยู่บ้านเขา จะพูดจะจาอะไรต้องระวังนะลูก ลูกเป็นผู้หญิง กลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ ทุกคืน แม่เป็นห่วง ฉันบอกแม่ไปว่าเพราะเราคิดแบบนี้ บ้านเมืองถึงเป็นแบบนี้ แม่บอกว่าแม่ไม่สนใจ ลูกแม่ปลอดภัยสบายดีแม่ก็สบายใจ!


 


นี่ถ้าแม่รู้ว่าฉันไปสวนลุม ไปสนามหลวง และอยู่ข้างกายของคนที่เด็ดดอกไม้หนึ่งดอกกระเทือนคนทั้งเชียงใหม่ (ที่รักนายก) คนที่หายใจหนึ่งครั้ง คนเขียนป้ายผ้าด่า  คนที่สยายผมครั้งที่สอง คนก็เผาหุ่น เผาผลงานของเธอ 


 


บางทีการไม่มีเทคโนโลยี ก็มีประโยชน์เหมือนกันแฮะ ไม่รู้ว่าข่าวสารบางข่าวลอดหูลอดตาแม่ไปได้อย่างไร  หลังจากเหตุการณ์การเมืองเข้มข้นขึ้น ฉันกับแม่ตกลงกันว่าเราจะไม่คุยเรื่องการเมืองกันอีก มีบางครั้งที่แม่ถามนิดเดียวว่า เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง วันนี้แม่ลุ้นทั้งวันเลย แม่กลัวเขาจะฆ่ากัน


 


สถานการณ์ที่บ้านตอนนี้คือ พี่คนโตเป็นพ่อค้า ซึ่งเป็นหนึ่งใน 19 ล้านเสียงของ ทรท. (ทำให้ฉันไม่กล้าแม้จะเอ่ยปากคุยเรื่องการเมืองกับเขา)  พี่ชายอีกคนรับราชการ ตอนนี้กำลังยุ่งเรื่องเลือกตั้ง  น้องสาวเป็นนักข่าวซึ่งไม่ชอบสนธิ และมีแนวคิดเป็นของตนเอง และแม่ซึ่งอยู่ข้างลูกเสมอ


 


............


 


โชคดีที่แม่ไม่ได้มาเห็นเชียงใหม่ช่วงเวลานี้ เวลาที่คนในตลาดก้มหน้าก้มตาทำงาน  อึดอัด คับข้องใจ อยากตะโกนดัง ๆ อยากแสดงความเห็น แต่ทำได้เพียงกระซิบกันเบา ๆ ว่า


 


"กูเบื่อฉิบหาย"


 


 


 ------------------------------------------------------------------------------------------------------------



 


 



 


 



 


 



 


 



 


 



 


 



 


 



 


 



 


 



 


 



0 0 0