Skip to main content

เก็บตกจากหลวงพระบาง (3)

คอลัมน์/ชุมชน

 


 


หลบร้อนไปนอน "เมืองงอย"


 


เมืองงอย ชื่อนี้ขณะนี้อาจจะยังไม่ค่อยคุ้นหูคนไทยสักเท่าไร แต่คาดว่าอีกไม่นานก็จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของลาวแน่ๆ  เพราะว่าขณะนี้เริ่มเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์น้อยๆ ไปแล้ว


 


ในบรรยากาศทางการเมืองที่ร้อนระอุของเมืองไทย ทั้งอากาศและบรรยากาศทางการเมือง พอดีได้มีโอกาสแวบออกจากประเทศไปทำงานนิดหน่อยที่หลวงพระบาง เมื่องานจบแล้วก็ยังคิดอยู่ว่าจะรีบกลับเลยหรือเปล่า แต่เมื่อคิดได้ว่าตอนนี้เริ่มเครียดและจิตตกเมื่อได้ยินชื่อของท่านผู้นำที่มีความสามารถที่สุดในการปลุกประชาชนให้ลุกขึ้นมาต่อต้านมากขนาดนี้ ก็เลยรู้สึกอยากจะขออยู่ที่นั่นต่อเพื่อทำจิตใจให้สงบและตั้งหลักก่อนสักเล็กน้อยเพื่อให้มีแรงยืนหยัดต่อสู้ต่อไป


 


มีเพื่อนคนหนึ่งได้เอ่ยชื่อของเมืองหนึ่งออกมาว่าชื่อ "เมืองงอย" และแนะนำให้ไป และเมื่อได้ไปมาแล้วเห็นทีจะอดใจไม่ไหวที่จะขอเบรกอารมณ์จากการเมืองอันร้อนระอุมาเล่าสู่กันฟัง


 


แม้จะไปลาวมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่รู้ว่าเมืองนี้ตั้งอยู่ตรงไหนและน่าสนใจอย่างไร  หลังจากหาข้อมูลมาจึงรู้ว่า เมืองงอยนั้นเป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองหลวงพระบางไปทางทิศเหนือ ตั้งอยู่บนลำน้ำอู แม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง  คนที่เคยไปมาแล้วก็บอกว่าเป็นเมืองที่สวยงาม สงบ อุดมสมบูรณ์ และยังคงรักษาความดั้งเดิมของชุมชนไว้อยู่เกือบเต็มที่  และที่สำคัญช่วงนี้เริ่มเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนใจท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์กันแล้ว


 


มีเพื่อนคนลาวคนหนึ่งบอกว่า "ที่นี่สมบูรณ์มาก แม้กระทั่งพวกฝรั่งยังไปลงแหจับกุ้งร่วมกับชาวบ้านแล้วได้กุ้งตัวใหญ่ๆ ขนาดเท่าๆ ข้อมือเชียว แล้วก็ทำบรรยากาศแคมปิ้งกันสนุกสนานกันดีทีเดียว"


 


ได้ฟังถึงความอุดมสมบูรณ์ ได้ฟังถึงความเป็นชุมชนดั้งเดิม ประกอบกับรู้ว่าฝรั่งเข้าถึงแล้วเกรงว่าความดั้งเดิมจะหายไปหากไปหลังจากนี้ เลยมีใจเอนเอียงไปในทางที่สนใจมากว่าจะต้องไปดูให้ได้ แม้จะมีเวลาน้อยแต่ก็ขอให้ได้ไปเห็นเอาไว้ก่อน ถ้าชอบก็ค่อยกลับไปเยือนกันอีกภายหลังก็ได้


 


เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะไปแต่เอาเข้าจริงก็เป็นปัญหาอยู่ว่า ด้วยข้อจำกัดเรื่องตั๋วเครื่องบินที่ระบุไว้แล้วว่าจะต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในวันนั้นจะทำอย่างไรได้ แต่ปรากฏว่ามีน้องๆ เพื่อนๆ ชาวลาวที่ลุ้นสุดใจว่า อยากให้ได้เดินทางไปด้วยกันก็ได้พยายามไปขอเลื่อนตั๋วให้ได้และก็สำเร็จพร้อมกับการถูกเก็บค่าธรรมเนียมโดยบางกอกแอร์เวย์ไป 10 เหรียญสหรัฐฯ เพื่อนที่รอร่วม ทริปที่มีคนลาว 2 คน และคนไทยอีก 1 คน ก็ได้เฮเมื่อรู้ว่าในที่สุดก็จะได้ไปเมืองงอยด้วย การเดินทางก็เริ่มต้นขึ้น ณ ตรงนั้น


 


ประมาณเที่ยงๆ พวกเราเดินทางไปยังสถานีขนส่งสายเหนือของหลวงพระบาง เพื่อซื้อตั๋วซึ่งก็พบว่า ไม่มีคำว่าเมืองงอยเลย มีแต่หนองเขียว ซึ่งคือที่ตั้งของเมืองงอยใหม่ ทางท่ารถบอกว่า มีรถออกทุก 2 ชั่วโมง เที่ยวสุดท้ายหมดตอนบ่ายสองโมง แต่ถ้าจากหนองเขียวไปต่อ เที่ยวสุดท้ายหมดตอน 11 โมง


 


ระยะทางจากหลวงพระบางไปยังหนองเขียวประมาณ 140 กิโลเมตร นั่งรถประจำทางที่เป็นแบบรถสองแถวใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงค่ารถคนละ 28,000 บาท (ประมาณ 105 บาท : 1 บาท=265 กีบ) รถแล่นไปอย่างช้าๆ จอดรับคนตลอดเส้นทางและหยุดรอหากคนยังไม่พร้อม ทิวทัศน์ระหว่างทางขึ้นเหนือของหลวงพระบางนั้นนับว่าสวยงาม นั่งชมได้เพลินๆ ไม่เบื่อนักแม้ว่าจะนั่งกันไปอย่างเบียดเสียดบ้างเป็นระยะๆ และอาจเมื่อยก้นบ้างเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับเลวร้าย เห็นวิวทั้งแม่น้ำและภูเขา บางหมู่บ้านก็มีบ่อน้ำบาดาลหน้าหมู่บ้านก็พบเห็นคนมายืนอาบน้ำยามบ่ายกันเป็นระยะๆ


 


ในที่สุด ก็มีมาถึงบ้านหนองเขียวหรือเมืองงอยใหม่ แต่ที่เราจะไปคือเมืองงอยเก่า ซึ่งต้องนั่งเรือไปอีก 1 ชั่วโมง แต่ว่าตอนนี้ไม่มีคน เรือก็ไม่ออกตามปกติ ซึ่งโดยปกติค่าโดยสารเรือจะเป็น 15,000 กีบ (ประมาณ 56 บาท) ต่อรองกันไปมาเหมาเรือได้ที่ 150,000 กีบ ซึ่งเป็นราคาที่ค่อนข้างแพง แต่ก็เหมือนกับว่าผีถึงป่าช้าแล้ว ยังไงก็ต้องเผา ในที่สุด เราก็ลงเรือและพบว่ามีคนนั่งอยู่อีก เลยถามไปว่า เราเหมาแล้ว ทำไมยังมีคนอื่นอีก คนขับเรือบอกว่า สองคนนี่เป็นพี่น้อง แล้ว ส่วนอีกคนที่นั่งอุ้มลูกน้อยเป็นคนม้ง ซึ่งถ้าไม่ได้ไปด้วยกันเที่ยวนี้ก็คงไม่ได้ไปแล้ว


 


เรือล่องไปเรื่อยตามลำน้ำอู สังเกตเห็นว่าแม่น้ำสายนี้เป็นสีเขียวๆ ใสสวยงาม คิดว่าสวยกว่าแม่น้ำโขงอยู่พอสมควร เกาะแก่งสวยงามก็มีให้เห็นอยู่หลายแก่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทิวทัศน์ริมน้ำให้รู้สึกมีชีวิตชีวายิ่ง ได้เห็นกิจกรรมหลายหลากของผู้คนที่อาศัยอยู่ริมฝั่งน้ำ มีตั้งแต่มาอาบน้ำอาบท่า ซักผ้า แปรงฟัน  งมหาไค ตีปลา ลงอวน ทิวทัศน์ระหว่างทางน้ำยิ่งสวยกว่าตอนที่นั่งรถเข้าไปอีก


 


ไม่เพียงแต่คนเท่านั้น สัตว์ที่อยู่ริมน้ำก็ยังลงเล่น พบควายหลายฝูง ลงลอยน้ำอยู่เป็นระยะๆ ดูสบายใจกันอย่างมาก มีน้องเพื่อนร่วมทางซึ่งมาจากเชียงใหม่เห็นภาพเหล่านี้แล้วปลาบปลื้ม บอกว่า "ดูวัวพวกนี้สิ แช่น้ำกันมีความสุขจังเลย"  เพื่อนชาวลาวบอกว่า "วัวมันไม่แช่น้ำ มีแต่ควายที่แช่น้ำ" เลยถูกแซวกันเล่นๆ ว่า อะไรกัน คนเชียงใหม่นี่แยกวัวกับควายไม่ออกหรือ จึงได้รับคำตอบอย่างสงสัยว่า อ้าว แล้วตัวที่ขาวๆ นั้นก็ควายด้วยหรือ ที่แท้มันคือควายเผือก นั่นเองที่ทำให้เธอต้องเข้าใจผิด กลายเป็นมุขขำๆ กันไป


 


นั่งเรือมาได้ครึ่งทาง เรือก็เสียอยู่กลางน้ำ เจ้าของเรือลากเข้าฝั่งจอดซ่อม แล้วก็บ่นนิดหน่อยว่า ขับมากว่า 3 ปีแล้วยังไม่เคยเป็นอะไร แล้วก็ซ่อมอย่างใจเย็น อากาศเริ่มมืดขึ้นทุกขณะ แต่ทางเจ้าของเรือก็ไม่มีทีท่าว่าจะสื่อสารว่าจะจัดการอย่างไรต่อไปหากซ่อมไม่ได้ เสียเวลาไปกับการซ่อมเรือไปกว่าชั่วโมง ทุกคนก็นั่งคอยอยู่อย่างใจเย็น พลางก็คิดไปว่า สงสัยจะต้องกินข้าวลิงกันเสียแล้ว จนใกล้ 6 โมงเย็นเริ่มโพล้เพล้ คนเรือหยุดซ่อมแล้วเดินจากไปโดยไม่สื่อสารใดๆ และอีก 5 นาทีต่อมาก็มีเรืออีกลำหนึ่งมารับช่วงต่อไปจนถึงเมืองงอย


 


ครั้นมาถึงท่าเรือ ทุกคนก็ปลาบปลื้มกันมากต่างอุทานออกมาพร้อมๆ กัน ว่า โอ้ช่างเป็นเมืองที่สวยจริงๆ เมืองริมน้ำที่มีภูเขาล้อมรอบ ทิวทัศน์ยามโพล้เพล้สวยจับใจ มีเจ้าของเกสต์เฮาส์มาถามว่าจะหาห้องพักหรือเปล่า แม้เราเป็นคนไทยและคนลาว แต่บางคนก็มีลุคคล้ายเกาหลีหรือ ญี่ปุ่น จึงถูกทักเป็นภาษาอังกฤษก่อนนิดหน่อย ก่อนที่เราจะบอกไปว่าเป็นคนลาวจากเวียงจันทน์


 


เกสต์เฮาส์ที่นี่อยู่ริมน้ำทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นกระท่อมไม้มีเตียงใหญ่ๆ 1 เตียงพร้อมมุ้ง ใช้ห้องน้ำรวมด้านนอก ราคาส่วนใหญ่ก็จะเท่ากันหมดคือ 20,000 กีบ ตอนที่กำลังจะเลือกเกสต์เฮาส์ มีน้องจากเวียงจันทน์หลุดปากถามไปว่า มีพัดลมมั้ย ก็ได้รับคำตอบว่า ไฟฟ้ายังไม่มีเลย แล้วจะมีพัดลมได้ไงหนอ ว่าแล้วก็หัวเราะกันไป ที่นี่เขาปั่นไฟฟ้าใช้ ปิดตอน 3 ทุ่ม


 


ตอนที่ไปถึงนั้นก็ทุ่มกว่าๆ แล้ว ทุกคนหิวโหย หลังจากเอาของเก็บแล้วก็รีบออกมาหาของกิน  เจอร้านบั๋นก๋วน ที่เล็งเอาไว้แล้วตั้งแต่เดินหาเกสต์เฮาส์ จึงกลับมากิน กินไปตั้งหลายชิ้น ถามเขาว่าเท่าไร เขาบอกว่า 1,000 กีบ ทุกคนอึ้งในความถูกก็เลยกินอีกนิดหน่อยแต่คราวนี้ไม่ได้นับว่ากี่ชิ้น สุดท้ายจ่ายให้เขาไป 5,000 กีบ


 


ระหว่างที่กินบั๋นก๋วนกันอยู่นั้น ถามเจ้าของร้านว่า ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องกุ้งใช่ไหม เขาบอกว่าตอนนี้ไม่มี ต้องมาตอนเดือน 8 เดือน 9 ถึงเดือน 10 เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าฝน น้ำที่กุ้งอยู่จะขุ่นก็จะทำให้กุ้งต้องอพยพขึ้นมาหาน้ำใส ตอนนี้เองที่คนไปดักจับได้ ไม่ว่าใครที่เราเจอและถามถึงต่างแนะนำว่าให้กลับมาใหม่ในหน้าที่มีกุ้ง 


 


สำหรับอาหารเย็น ถามไปว่ามีปิ้งปลา (ปลาย่าง) มั้ย และอยากกินไก่ต้มด้วย เขาแนะนำร้านอาหารแล้วบอกลูกชายว่า "ไปบอกเจ้าของร้านหน่อยว่ามีแขกจากเวียง (จันทน์) เพิ่นอยากกินปิ้งปลา แล้วก็ต้มไก่" พร้อมกับกำชับว่า "เอาไก่ลาว (ไก่พื้นเมือง) นะ ให้เตรียมเอาไว้เลยเดี๋ยวเพิ่นไป"  ฟังแล้วดูพิเศษๆ ยังไงก็ไม่รู้นะ  หลังจากนั้นก็มีเด็กน้อยวัย 5 ขวบนำทางพวกเราฝ่าความมืดไปยังร้านอาหารที่ว่า แต่ว่าอาหารนั้นยังไม่ได้ทำ เพราะต้องรอการสั่งที่แน่ชัดเสียก่อน ทั้งร้านมีเฉพาะพวกเรา 4 คน แต่อาหารอร่อยดี  มีเบียร์ที่แช่ในถังน้ำเย็นพบว่ารสชาติดีกว่าที่แช่ในตู้แช่เสียอีก


 


กินอาหารเสร็จกลับมาก็เป็นช่วงเวลาดับไฟพอดี และแม้จะไม่มีพัดลมดังที่ถามหา แต่ที่นี่ตอนค่ำคืนอากาศสบายมากๆ ยามเช้าอากาศก็สดชื่นสุดๆ เหมาะกับการพักผ่อนจริงๆ


 


ด้วยความเป็นเมืองเล็กๆ มีถนนสายหลักอยู่แค่สายเดียว มีวัด 1 แห่ง มี โรงเรียน 1 หลัง เดินไปตรงไหนก็เจอกัน คนก็ดูเหมือนจะรู้จักกันหมด เวลามีอะไรเกิดขึ้นก็รู้กันหมด ตื่นเช้าขึ้นมาเราก็ได้รับข่าวว่า ควายของบ้านหลังหนึ่งตายไปสามตัว ตัวแม่ 1 และลูกอีก 2 ซึ่งอยู่วัยทำงานแล้ว ทุกคนๆ ก็ยืนวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นกลุ่มๆ เรื่องควายตาย และสงสารเจ้าของบ้านที่ควายตาย  ระหว่างทางที่ไปเดินเล่นก็ผ่านโรงเรียนเห็นเด็กน้อยเล่นกันอยู่ที่หน้าโรงเรียนเลยถามว่ายังไม่เข้าเรียนหรือ เด็กบอกว่า วันนี้ไม่เรียน ครูไปกินดอง ( แต่งงาน)


 


ส่วนเด็กๆ ที่เรียนนั้น 11 โมงก็เลิก แล้วก็พากันไปจับปลาที่ลำธารในป่าด้านหลัง เด็กๆ วัยไม่เกิน 11 ปี ทั้งหญิงทั้งชายเตรียมฉมวกกันมา ดูแล้วสดชื่นมากๆ เมื่อเทียบกับบรรยากาศเมืองใหญ่ที่พบเห็นอยู่ทุกวันนี้ นับว่าเป็นเมืองที่น่ารัก ไม่น่าผิดหวังที่ได้มาเห็น มีความเสียดายอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่มีเวลาน้อยเหลือเกิน (ข้ออ้างตามปกติของคนในเมืองที่ไม่เคยมีเวลา) ไม่รู้ว่าเราใช้เวลาไปกับอะไรหมด ได้ค้างคืนที่นั่นเพียง 1 คืน เที่ยงวันก็ต้องจากมาด้วยเกรงว่าจะไม่มีรถ แล้วก็ไม่มีจริงๆ


 


ที่จริงแล้ว เนื่องจากเป็นการที่เดินทางที่ไม่ได้ตระเตรียมตัวมาก จึงมีแต่เรื่องที่คาดเดาไม่ได้ว่าจะต้องพบกับอะไรบ้าง รถเสีย เรือเสียทั้งไปและกลับ แก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันตลอดเวลา และเสียเวลากับการรอคอยมากมาย หากใช้วิธีคิดของคนเมืองไปจับรับรองได้ว่าคงจะเกิดความหงุดหงิดกันได้ง่ายๆ แน่ ทว่า ด้วยบรรยากาศและการใช้ชีวิตของคนที่นั่นที่ไม่มีใครร้อนรนกับเรื่องใดๆ  สถานการณ์ใดๆ ก็ดูเหมือนจะรับมือกันได้หมด


 


มีเรื่องส่วนตัวที่อยากเล่าสู่กันฟังอีกเล็กน้อยถึงความประทับใจที่เกิดขึ้นในทริปนี้ นอกเหนือจากการได้เห็นเมืองที่น่ารักและวิถีชีวิตของชาวเมืองแบบเดิมๆ แล้ว นั่นก็คือมิตรภาพ ที่เกิดขึ้นโดยไร้เงื่อนไขใดๆ เรามีคนไทย 2 คน คนลาว 2 คน ที่เรียกว่าเป็นเรื่องของโชคอำนวยพอสมควรที่ทำให้มารู้จักกัน แต่ด้วยความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนมนุษย์ที่ไม่ต้องอิงภาครัฐนั้น เรามีมิตรภาพต่อกันเต็มร้อยไม่มีความแปลกแยกใดๆ ต่อกัน เว้นแต่คนไทยนั้นอาจจะอ่อนด้อยไปหน่อยในเรื่องความเข้าใจในภาษาลาว ในขณะที่คนลาวนั้นกลับเข้าใจภาษาไทยเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่นั่นกลับไม่ใช่สาระเพราะว่าในใจนั้นเปิดกว้างต่อกัน ความเป็นมิตรจึงไม่ได้ถูกขัดขวางด้วยภาษาใดๆ


 


สุดท้ายเมื่อเวลาแห่งความเป็นจริงมาถึงและกลับเข้ามาถึงกรุงเทพฯ พบว่า เรื่องราวรกหูรกตาก็ยังคงอยู่ คนบ้าอำนาจก็ยังอยู่ คิดๆ แล้วอยากย้ายสำมะโนครัวไปอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำโขงจริงๆ (เฮ้อ!)


 


หมายเหตุ : สามารถอ่านเรื่องราวของหลวงพระบางได้ใน "ชีวิตในเมืองมรดกโลก" ที่เผยแพร่ไปแล้วที่ประชาไทได้ที่ลิงค์ข้างล่างนี้


http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms01&ContentID=1002&SystemModuleKey=SepcialReport&SystemLanguage=Thai


 


 



 เรือที่นั่งจากหนองเขียวไปยังเมืองงอย


 


 


 


 


 



 ภาพวิถีชีวิตปกติ บนลำน้ำอู


 


 


 


 


 



ทิวทัศน์ที่มองเห็นจากเมืองงอยช่วงโพล้เพล้


 


 


 


 


 


 



หมู่บ้านที่มีถนนสายหลักแบบนี้เพียงสายเดียว ที่เหลือเป็นเส้นทางเดินป่า


 


 


 


 


 



กออกจับปลาในลำธารหลังหมู่บ้าน ห่างตัวหมู่บ้านประมาณ 1 กิโลเมตร


 


 


 


 



ท่าเรือเมืองงอยในยามเย็น


 


 


0 0 0