Skip to main content

ถึงเวลารับใช้ชาติแล้ว!

คอลัมน์/ชุมชน

และแล้ววันที่ ๒ เมษายน ก็มาถึงจนได้!


สำหรับผมแล้วรู้สึกตื่นเต้น และทำตัวไม่ค่อยถูกเสียหรือเกิน จนบางวันคิดมากเสียจนไปเป็นการเอางานเสียเลย บางวันคิดมากจนปวดหัวต้องหายามากินเพื่อบรรเทาอาการปวด แต่หากวันใดไม่ได้คิดถึงวันที่ ๒ เมษายน ก็จะปลอดโปร่ง โล่งสบายอย่างมาก


 


วันที่ ๒ เมษายน นอกจากจะเป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หลังจากที่คุณทักษิณ ชินวัตรได้ประกาศยุบสภาไปเมื่อเดือนกลายนั้น แต่วันที่ ๒ เมษายน วันเดียวกันนี้ ก็เป็นวันที่ชายไทยที่ทีอายุ ๒๑ ปี หรือเกิดพ.ศ. ๒๕๒๘ ต้องไปเกณฑ์ทหารเพื่อรับใช้ชาติ ตามภูมิลำเนาของตัวเอง


 


วันที่ต้องเกณฑ์ทหารนี้แหละ เป็นผมไม่อยากให้มาถึงเอาเสียเลย เพราะผมค่อนข้างกลัวที่จะต้องจับสลากแล้วได้ "ใบแดง" และต้องทำหน้าที่รับใช้ชาติ โดยการเป็นทหาร แต่ขณะเดียวกันผมก็อยากให้วันที่ ๒ เมษายน ผ่านไปเร็วๆ พร้อมกับ "ใบดำ" ที่ผมมีความหวังว่าจะจับได้สำหรับตัวเอง


 


ช่วง ๑ อาทิตย์ก่อนจะถึงวันที่ ๒ เมษายน ซึ่งเป็นวันที่ต้องไปเกณฑ์ทหาร ผมนอนไม่ค่อยหลับ หรืออย่างมากก็ต้องหลับและฝันเกี่ยวกับทหาร .... ผมคิดว่าทำไมต้องมาคิดมากอย่างนี้ด้วย แค่เป็นทหารอย่างน้อยตัวเราก็จะได้รับใช้ชาติอีกทางหนึ่ง


 


หากจะถามอย่างตรงไปตรงมาว่าผมกลุ้มใจว่าจะไม่ได้เป็นทหารหรือ?  ผมคงตอบว่า "ไม่" แต่สิ่งที่ผมคิดมาก จนไม่เป็นการเอางานนั้น เพราะผม "ไม่อยากเป็นทหาร" ตั้งหาก


 


ที่ว่าไม่อยากเป็นทหารนั้น ไม่ใช่เพราะเกลียด หรือมีอคติเกี่ยวกับทหารแต่อย่างใด เพราะพี่น้องเครือญาติส่วนใหญ่ก็รับราชการทหาร มิหนำซ้ำลูกพี่ลูกน้องแต่ละคนยังผ่านการเกณฑ์ทหารและได้เป็นทหารมาแล้วทั้งสิ้น จนหลายคนบอกว่า ตระกูลผมน่ะ รับรองได้เลยว่า ผมจะได้เป็นทหารเกณฑ์คนต่อไป


 


อีกอย่างผมว่า การรับใช้ชาตินั้น มีมากมายตั้งหลายรูปแบบ ทำไมต้องเป็นทหารด้วย เป็นทหารก็ไม่เห็นจะได้สู้รบกับใคร หรืออย่างมากก็เข้าประจำการเผื่อมีเหตุฉุกเฉิน  หรือที่กฎหมายบอกว่า "ชายไทยต้องมีหน้าที่รับใช้ชาติ" นั้น ทำไมไม่เปลี่ยนใหม่เป็นการจับสลากเอาคนไปทำงานองค์กรสาธารณประโยชน์  ไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ไปทำงานงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จับสลากไปเป็นเอ็นจีโอ ไปเป็นครูอาสา ไปเป็นนักกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ทำไมการรับใช้ชาติต้องมีแค่เป็นทหาร .....มันเป็นความหมายที่แคบไป


 


ดังนั้น ผมจึงอยากรับใช้ชาติด้วยวิถีทางอื่นมากกว่า แม้ว่าตอนเด็กตัวเองฝันอยากเป็นทหารก็ตาม


 


ตอนเป็นเด็ก ผมจำได้ดีว่า เมื่อตอนที่ตัวเองเรียนอยู่ระดับประถมศึกษานั้น มีความฝันอยากเป็นทหารมาก แต่พอโตขึ้น ได้ทำกิจกรรม และได้ทำงานเป็นส่วนหนึ่งของนักพัฒนาสังคมรุ่นเยาว์แล้วก็รู้สึกผูกพัน และรักในการรับใช้ชาติในด้านนี้มากกว่าการรับใช้ชาติโดยอยู่ในสถานะ "ทหาร"  ขณะเดียวกันด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรงและไม่อยากอยู่ในกรอบ กฎระเบียบแล้วยิ่งเป็นเหตุผลที่ไม่อยากเป็นทหารอย่างมาก .....เหตุผลที่ผมไม่อยากเป็นทหารก็มีเพียงเท่านี้แหละครับ


 


สำหรับการเกณฑ์ทหารในปีนี้ ในอำเภอของผม คือ อ.พาน จ.เชียงราย เขาได้มีการกำหนดสัดส่วนของทหารเกณฑ์ที่ต้องเข้าประจำการแต่ละผลัดประมาณ ๑๗๐ คน โดยแบ่งการจับสลากเป็น ๒ วัน คือวันที่ ๒ และ ๓ เมษายน ซึ่งวันที่ ๒ เมษายน จะต้องได้ทหารเกณฑ์เข้าประจำการ ๘๗ คน ตามสัดส่วนที่กำหนดในแต่ละวัน ส่วนคนที่จะมาเกณฑ์ในวันที่ ๒ เมษายน นั้นมีจำนวน ๒๕๐ คน


 


ในการคัดเลือกทหารนั้นจะมีขั้นตอน วิธีการ ที่ละเอียด กล่าวคือ ตอนช่วงเช้าคนที่เข้าเกณฑ์จะต้องไปรายงานตัว และเข้ารับการตรวจสุขภาพ เพื่อดูว่ามีใครที่ผ่านเกณฑ์การเป็นทหารบ้าง คนที่กระดูกไม่ค่อยดี ส่วนสูงไม่ถึง ๑๖๐ เซนติเมตร รอบอกน้อยกว่า ๗๘ เซนติเมตร หรือมีโรคประจำตัวที่อาจไม่สามารถเป็นทหารได้ ก็จะถูกคัดออกจากการ "จับสลาก"


 


ช่วงตรวจร่างกายนี้แหละครับ ที่ผมมั่นใจว่าตัวเองจะไม่ได้จับสลากอย่างแน่นอน เพราะรอบอกของผมนั้นไม่ถึง ๗๘ เซนติเมตร แม้ว่าผมจะมีส่วนสูงตามเกณฑ์ และร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงก็ตาม


 


เมื่อช่วงเวลาที่ต้องตรวจร่างกายมาถึงผม ผมก็ได้ให้เจ้าหน้าที่ตรวจร่างกาย วัดส่วนสูง และวัดรอบอก


ผลที่ได้คือ  "๗๙ – ๘๒ ... รอจับสลาก"  เสียงประกาศก้องของเจ้าหน้าที่ตรวจร่างกายดังเข้าไปทั่วประสาทหูของผม เพื่อนๆ ที่รุ่นเดียวกันต่างหัวเราะด้วยความสะใจที่ผมผ่านมาจนได้จับสลาก


 


"ถ้าเราเกิดมาเพื่อเป็นนักพัฒนา ก็คงไม่ได้เป็นทหาร แต่นี่แค่เซนต์เดียวเขาก็ยังเอา ตายแน่กู คราวนี้ได้เป็นแน่เลย" ผมบ่นพึมพำด้วยสีหน้าที่ยังมีความหวังในช่วงจับสลากที่จะมาถึง


 


เวลาจากการตรวจร่างกายผ่านไป คนที่ต้องเข้าเกณฑ์กว่าหลายร้อยคนผลัดเปลี่ยนกันเข้าไปเพื่อทำงานตรวจร่างกาย คนที่ผ่อนผันก็เข้าไปทำเรื่อง ..... ตั้งแต่ ๘ โมงเช้า จนถึง ๒ ทุ่ม


 


และแล้วเวลาที่ต้องจับสลากก็มาถึง เจ้าหน้าที่ประกาศแก่เหล่าผู้ผ่านเข้ารอบจับสลาก "จากเดิมที่เราต้องการทหารเกณฑ์ ๘๗ คน ตอนช่วงเช้ามีคนมาสมัครแล้ว ๒๐ กว่าคน ดังนั้นเราจะจับสลากเพียง ๖๗ คนเท่านั้น แต่ว่าตอนนี้ใครอยากสมัครก่อนจะจับสลาก ยกมือขึ้น"


 


"ใครจะยกว่ะ อุตสาห์รอลุ้นเพื่อจะได้ใบดำ ไม่มีทางที่กูจะสมัคร" เพื่อนคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆ บ่นกับผม


 


"น้องๆ ทุกคนครับ เป็นทหารได้อะไรมากกว่าที่คุณคิด หากใครได้ใบแดง คือ ทบ.๑ ทบ.๒ ซึ่งจะไปอยู่ที่เชียงราย และเชียงใหม่ เราขอแสดงความยินดีล่วงหน้าที่น้องๆ จะมารับใช้ชาติร่วมกันกับเรา"  เจ้าหน้าที่ทหารประกาศอีกครั้ง ก่อนที่จะนำสลาก "ใบดำ" และ "ใบทบ.๑"  "ใบทบ.๒" หย่อนลงไปในกล่องทึบ


 


ผมมองไปทั่วบริเวณ ฝูงชนกว่าสองร้อยคน บางคนใส่เสื้อสีดำเพื่อเอาเคล็ดให้จับได้ "ใบดำ" บางคนก็ใส่สีแดง เพื่อแก้เคล็ดให้ได้ "ใบดำ" เช่นกัน สำหรับผมใส่เสื้อเชิ้ตลาย พร้อมกับสวดมนต์ บ่น พรรณนาสารพัดเพื่อขอให้จับสลากได้ "ใบดำ"


 


"ใบแดง  แดง ....แดง......แดงงงงง"  เสียงตะโกนจากฝูงชน เมื่อคนที่เข้าเกณฑ์แต่ละคนจับสลาก เพราะต้องการให้คนก่อนหน้าจับได้ "ใบ ทบ๑." และ "ทบ.๒" (ทบ. ๑ คือต้องเข้าประจำการทหารวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ส่วน ทบ.๒ คือ ต้องเข้าประจำการทหารวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ตามจังหวัดที่ระบุคือ เชียงใหม่และเชียงราย)


 


เวลาผ่านไป คนที่ลุกขึ้นไปจบสลากเริ่มลดจำนวนลงเรื่อยๆ ใกล้มาถึงตัวผมทุกทีแล้ว ตอนนี้ใจเต้นไปเป็นจังหวะ เพื่อนที่นั่งข้างๆ หน้าซีดเป็นไก่ต้ม เสียงกองเชียร์คือญาติพี่น้องของคนที่จับสลากต่างตะโกนให้ลูกหลานของตัวเองได้ "ใบดำ" ก้องดังไปทั่วบริเวณ


 


ระหว่างที่คนจับสลากส่งใบสลากให้เจ้าหน้าที่ประกาศว่าได้ใบอะไร ผมก็คิดเล่นๆ ว่าหากเป็นคูหานับคะแนนเลือกตั้งตอนนี้คนก็คงจะลุ้น ให้ได้ทั้ง "เบอร์ ๒" บ้าง "ไม่ประสงค์จะลงคะแนน" บ้าง ฯลฯ คละเคล้ากันไป แต่วันนี้ผมไม่ได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งเพราะต้องมาเกณฑ์ทหาร แต่ผมก็ไม่ได้เสียใจแม้ว่าต้องเสียสิทธิ์ที่ไม่ได้ไปเลือกตั้ง แต่ผมก็ได้มาเกณฑ์ทหาร ซึ่งเป็นช่วงจังหวะชีวิตครั้งหนึ่งของคนที่เป็นเพศชาย ที่จะได้มีโอกาสเช่นนี้


 


ช่วงระหว่างที่รอก่อนจะถึงคิวตัวเอง ความคิดก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คิดไปเรื่อยเปื่อย พอเริ่มใกล้ผมก็ต้องปลอบตัวเอง ทำใจเย็นๆ หายใจเข้าออก ลึกๆ บอกว่าถ้าได้เป็นขออยู่ ทบ.๒ ที่เชียงรายก็ยังดี เพราะอยู่ใกล้บ้านและมีเวลาเตรียมตัว และจัดการกับงานที่ทำอยู่ประจำให้ลงตัว และสวดมนต์ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือคุ้มครองตัวเองด้วย


 


"หมายเลข ๒๖๓ กิตติพันธ์ กันจินะ" เสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ เพื่อเรียกให้ผมไปจับสลาก


 


ผมบอกกับตัวเองว่า "เอาวะ อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งของชีวิต ถ้าผลออกมาถือเป็นชะตาของเรา"


 


ผมยกมือไหว้ เอาฤกษ์ และล้วงเข้าไปในกล่องสลาก และหยิบสลากออกมา ส่งให้เจ้าหน้าที่ประกาศ ในช่วงเวลาที่ล้วงเข้าไปนั้น เสียงของผู้คนยังคงตะโกนเพื่อให้ผมได้ใบแดง แต่ญาติพี่น้องต่างลุ้นให้ได้ใบดำ


 


 "ดำ" เสียงประกาศของเจ้าหน้าที่


 


ทันทีที่เสียงประกาศของเจ้าหน้าที่จบลง ความอึดอัด คิดมาก ความเครียดก็หายไป ผ่านมาเป็นความดีใจ ความปีติยินดีของตัวเอง แม้ว่าเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันจะมีน้ำตา จากการที่ไม่ได้ "ใบดำ" จนต้องรับใช้ชาติโดยการเป็นทหาร ญาติพี่น้องบางคนก็แสดงอาการทั้งเห็นใจ ให้กำลังใจ ลูกหลานของตนที่ต้องเป็นทหาร


 


สำหรับผมแม้จะไม่ได้รับใช้ชาติด้วยการเป็นทหาร แต่คงจะมุ่งมั่นที่จะรับใช้ชาติด้วยวิถีทางเดิมที่เป็นคนทำงานพัฒนาสังคมตัวน้อยๆ อย่างที่ได้ทำมาด้วยความรักและศรัทธาเหมือนวันวานที่ผ่านมาต่อๆ ไป