Skip to main content

ความใฝ่ฝันของปอย

เมื่อคุณครูที่โรงเรียนหยิบเอาแผนที่ประเทศไทยมาให้ดู และชี้ไปที่บริเวณที่มีสีฟ้าที่อยู่รอบด้านขวานของประเทศ แล้วบอกว่า "สีฟ้านี้คือทะเล"


 


ทำให้ปอยซึ่งเรียนอยู่ชั้นประถม 1 ประหลาดใจอย่างมากและอยากรู้นักว่า "ทะเล" นั้นเป็นอย่างไร


 


คุณครูพูดต่อไปว่า "ทะเลนั้นกว้างใหญ่และก็ลึกมาก กว้างและลึกกว่าหนองน้ำข้างโรงเรียนหลายเท่า มีสัตว์แปลก ๆ หลากหลายชนิดอยู่ใต้น้ำทะเล มีปลาสวยงามและดุร้ายหลากหลายสีอยู่ในทะเล ปลาบางตัวใหญ่กว่าคนเสียอีก ปลาบางชนิดก็กินคนเป็นอาหารหากว่ามันหิว ว่ากันตามตำนานว่าในท้องทะเลมีนางเงือกที่ท่อนล่างเป็นปลาแต่ท่อนบนเป็นคนอยู่ด้วย ชาวประมงสมัยก่อนเคยได้ยินเสียงร้องเพลงของนางเงือก และน้ำทะเลก็เค็มมาก"


 


เด็กปอยรู้สึกประหลาดใจกับคำอธิบายของครู ทะเลช่างน่าลึกลับพิศวงมากจริงๆ ทะเลได้ซุกซ่อนสิ่งที่น่าสนใจไว้มากมาย


 


 "ปลาตัวใหญ่ที่ครูบอกนั้นตัวโตเท่าบ้านได้ไหมคะ" เด็กปอยถาม ทะเลเร้าความตื่นเต้นอย่างแรงกล้าให้กับความอยากรู้อยากเห็น


 


 "บางตัวก็ใหญ่กว่าบ้านเสียอีก" คุณครูตอบ ความตื่นเต้นสนใจของเด็กนักเรียนพลอยทำให้คุณครูรู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วย คุณครูหวนคิดถึงวัยเด็กของตนเอง แต่คุณครูจำไม่ได้หรอกว่าวัยเด็กของตนเองจะเป็นเหมือนเด็กปอยหรือเปล่า


 


 "คุณครูเคยไปเที่ยวทะเลไหมคะ"


 "เคยสิคะ" คุณครูหัวเราะกับคำถามของนักเรียน "ตอนที่ครูไปเห็นทะเลครั้งแรกก็อายุเท่า ๆ พวกเธอนี่แหละ"


"น้ำทะเลเค็มมากไหมคะครู"


"เค็มมากทีเดียวล่ะ  มันเค็มเหมือนกับเกลือที่เรากิน เพียงแต่ว่ามันเป็นน้ำและหากเราลืมตาในน้ำทะเลก็จะทำให้แสบตา"


 


"ถ้าหากน้ำทะเลมันทำให้แสบตา แล้วปลาจะอยู่ได้อย่างไร"


ครูอมยิ้ม เด็กปอยช่างตั้งคำถามเหลือเกิน แล้วครูก็คิดว่าเป็นคำถามที่ฉลาดด้วย ใช่สิ ถ้าน้ำทะเลให้แสบตาแล้วสิ่งมีชีวิตจะอยู่ในน้ำที่แสบตาได้อย่างไร


"ครูจะตอบว่ายังไงดีล่ะ เอ่อ น้ำทะเลทำให้คนแสบตาแต่ไม่ทำให้สัตว์ที่อาศัยอยู่แสบตาหรอกจ๊ะ"


 


มีคำถามอีกมากมายที่พรั่งพรูมาจากเด็กปอยและเพื่อนนักเรียนคนอื่น ๆ ในห้องเรียนนี้มีนักเรียนเพียงคนเดียวหรือสองคนเท่านั้นเองที่เคยไปเห็นทะเล


 


เด็กปอยก็เหมือนเด็กอื่น ๆ ในชนบทแห่งนี้ที่แวดล้อมด้วยทุ่งกว้างนาไกล ห้วยหนอง และฝูงวัวควาย ทะเลเป็นสิ่งที่ห่างไกลออกไปมาก เป็นเพียงสิ่งที่มีอยู่ในจินตนาการเท่านั้น   แม้ว่าเด็กปอยจะเคยเห็นทะเลบ้างจากในจอโทรทัศน์แต่ก็ไม่ได้ทำให้เด็กปอยรู้จักทะเลมากเท่าที่รู้จักจากจินตนาการ


 


สิ่งที่เด็กปอยพอจะรู้จักอยู่บ้างคือแม่น้ำโขงกว้างใหญ่ที่พ่อเคยพาไปเที่ยวเมื่อปีกลายที่ผ่านมา ซึ่งกว้างเสียจนเห็นคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตัวเล็กนิดเดียว แต่คุณครูก็บอกว่าความกว้างใหญ่และความลึกของแม่น้ำโขงเทียบกับทะเลไม่ได้เลย


 


"ทะเลลึกกว่าแม่น้ำโขงมาก" คุณครูบอกต่อไป "ถ้าไม่มีอุปกรณ์ช่วยมนุษย์ก็ไม่สามารถจะหยั่งวัดความลึกของท้องทะเลได้เลย"


"หนูอยากเห็นทะเลจัง" เด็กปอยรำพึงกับตนเอง


 


หลังจากเลิกเรียนวันนั้น เด็กปอยก็เฝ้าแต่คิดถึงทะเลเพราะชีวิตของเธอมีแต่ด้วยทุ่งนาป่าเขา  พอเลยสันเขาลูกนั้นไปก็เป็นทุ่งนา แล้วพอเลยทุ่งนาไปก็เป็นป่าอีก ถัดจากนั้นก็เป็นถนนใหญ่ แล้วก็เป็นแม่น้ำ แล้วก็เป็นทุ่งแล้วแห้งผากที่แทบไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่


 


ส่วนสัตว์ที่เธอคุ้นเคยนั้นก็มีแต่วัว ควาย และสัตว์ที่อยู่ในป่าอย่างหมาป่า ที่ส่งเสียงเห่าหอนอย่างน่ากลัวในตอนกลางคืน หรือบางทีพวกฝูงหมาป่าก็มาหาอาหารในหมู่บ้านกินหากว่ามันอดอยากและหาอาหารในป่ากินไม่ได้  


 


เสียงที่เธอได้ยินก็ไม่ใช่เสียงคลื่นแต่เป็นเสียงร้องของมอ ๆ ของวัว เสียงสายลมวู่หวิว และเสียงดังที่อธิบายไม่ได้ที่ดังมาจากป่าและทำให้เธอหวาดกลัว


 


อย่างไรก็ตาม พ่อกับแม่ของเธอเคยไปเที่ยวทะเล ตอนนั้นแม่ยังไม่คลอดเธอออกมา แม่เล่าว่าแม่กับพ่ออพยพเข้าไปในทำงานในกรุงเทพมหานคร พอมีโอกาสแม่กับพ่อก็ชวนกันไปเที่ยวทะเล แต่ก็ไม่ได้ดำน้ำลงไปลึกและไม่พบเห็นสัตว์หรือปลาในทะเล


 


วันรุ่งขึ้น เมื่อเขาพบกับคุณครูคนเดิม เขาก็ถามคุณครูเกี่ยวกับทะเลอีก คุณครูยิ้มอย่างเอ็นดู และคิดไปว่าหากเด็กๆ ได้ยินได้ฟังเรื่องที่น่าสนใจแล้ว เด็กๆ ก็จะไม่ลืมเรื่องนั้นๆ ได้ง่ายๆ และอาจจะครุ่นคิดหาคำตอบในเรื่องนั้นๆ ตามวิธีการของตนเอง 


 


"เมื่อคืนหนูฝันว่าได้ไปทะเลค่ะ คุณครู" เด็กปอยบอก เมื่อคืนเธอฝันถึงทะเลจริง ๆ เธอฝันว่าเธอได้เห็นปลาตัวใหญ่ด้วย"


"ได้เห็นนางเงือกด้วยหรือเปล่า"


"เปล่าค่ะ นางเงือกสวยมั้ยคะ" นางเงือกเป็นสิ่งลึกลับสำหรับเด็กปอยมาก เรื่องนางเงือกทำให้เธอจินตนาการไปต่าง ๆ นานา


"ตามตำนานแล้วว่ากันว่าสวยมาก"


 


คุณครูกางแผนที่ให้เธอดูประกอบคำอธิบาย "นี่คือประเทศไทย นี่คือภาคอีสาน และนี่คือจังหวัดหวัดที่เราอาศัยอยู่" เด็กปอยพยักหน้า "และนี่คือกรุงเทพมหานคร เป็นเมืองหลวงของประเทศไทย หากว่าเราจะไปเที่ยวทะเลเราก็ต้องผ่านกรุงเทพมหานคร เราต้องไปต่อรถที่นั่น จากนั้นเรานั่งรถไปยังภาคตะวันออกหรือภาคใต้ก็ได้เพื่อไปยังทะเล"


 


เด็กปอยไม่พูดอะไร เธอฉงนใจเกี่ยวกับแผนที่ที่ช่วยให้เธอเข้าใจอะไร ๆ ได้มาก เธอพยายามวาดภาพตามเวลาที่คุณครูอธิบายให้ฟัง


"เราต้องนั่งรถไปไกลมากใช่ไหมคะ"


"ก็คง 2-3 วัน นั่งรถไฟไปก็ได้"


 


เด็กปอยไม่รู้จักรถไฟ เธอไม่เคยเห็นรถไฟเลยสักครั้งเดียว ไม่ว่าจากในจอโทรทัศน์หรือจากที่อื่นใด เธอพยายามจินตนาการถึงรถไฟ  จากท่คุณครูเล่าให้ฟังทั้งหมดทำให้เด็กปอยได้รู้ว่าโลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลมากและเธอก็ไม่ได้รู้จักอะไรเลย แล้วพอครูอธิบายให้ฟังว่ามีเรือลำใหญ่เท่าโรงเรียนลอยแล่นอยู่ในท้องทะเลก็ยิ่งทำให้เธอฉงนใจหนักเข้าไปอีก ดูเหมือนว่าครูจะแกล้งให้เธองงกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อน


 


เด็กปอยจ้องมองแผนที่ มองไปยังบริเวณที่มีสีฟ้าอันหมายถึงทะเลแล้วก็พูดออกมาว่า


"สักวันหนึ่งหนูจะไปทะเล" เธอบอกกับครูและบอกกับตนเอง