Skip to main content

การเดินทาง...การเมือง กับหมาเลือกตั้ง

คอลัมน์/ชุมชน

1


 


2 เมษายน 2549


แดดส่องลอดฟ้าหม่นด้วยหมอกควันดูหม่นหมอง...


เขาขับมอเตอร์ไซค์คันเก่าออกจากเมือง  ไปตามเส้นทางที่คุ้นเคยบนถนนโชตนาหมายเลข 107 สายเชียงใหม่-ฝาง  ถนนสายนี้ทอดยาวไปสู่หมู่บ้านเกิดเชียงดาว 


 


ใช่,เขากำลังกลับบ้านหลังจากนานหลายเดือนแล้วที่เขาไม่ได้ไปเยือน      


           


จริงๆ แล้ว การกลับบ้านหนนี้  เขาอยากเว้นวรรคเรื่องการเมือง เลิกคิดเลิกนึกถึงเรื่องการเมืองชั่วคราว อยากพักผ่อน หลังจากรู้สึกว่าชีวิตนั้นล้าและหนัก จนต้องเข้าโรงพยาบาลได้ยาคลายเครียดมากินอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง 


           


(เขารู้สึกว่าตัวเองป่วยจริงๆ ป่วยด้วยโรคเครียดการเมือง เพราะตั้งเกิดใหญ่มาไม่เคยเจอเลยกับอาการเครียดเช่นนี้...)


           


ในห้วงยามนั้น ชีวิตเขาจึงเฝ้าฝันถึงวิถีธรรมชาติและความเรียบง่าย อยากกลับคืนสู่วิถีเก่าๆ อีกครั้ง เขาหลับตาหลับฝันถึงเนินเขาเหนือหมู่บ้าน ให้ลมป่าโชยพัดเข้ามาสัมผัสต้องกายใจให้สดชื่นเสียบ้าง  หลังจากใช้ชีวิตเคี่ยวกรำกับการเฝ้าติดตามเรื่องราวทางเมืองมานานหลายนาน


           


บางครั้งชีวิตคนเราอยากหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งสิ่งทั้งปวง


แต่ก็นั่นแหละ  อีกกี่คราวครั้งที่เรามิอาจหลุดพ้นบ่วงพันธนาการนั้นได้...


           


เหมือนกับการเดินทางครั้งนี้ของเขา จึงไม่อาจหลีกหนีพ้นเกี่ยวข้องการเมืองไปได้ 


เมื่อการเดินทางครั้งนี้ของเขา เป็นการเดินทางไปโดยจำต้องไปเลือกตั้ง ส.ส.และนายกรัฐมนตรี (โดยที่ในใจเขานั้นอยากฝืน ทว่าไม่มีสิทธิขัดขืน...)


           


แต่ช่างมันเถอะ...เส้นทางนั้นอีกยาวไกล...


           


ระยะทางกว่า 70 กิโลเมตรกับเกือบสองชั่วโมง ที่เขาใช้เวลาเดินทางฝ่าแดดเปลวร้อนและแล้ง ระหว่างทาง เขายังคงหมกมุ่นครุ่นคิดถึงเรื่องการเลือกตั้งที่ตั้งรออยู่ข้างหน้า นึกถึงคำพูดของใครหลายคน ที่บ่นเตือนด้วยความรู้สึกของความหวังดีและความไม่ชอบมาพากลของกลไกเลือกตั้งในครั้งนี้... 


 


เมื่อเขาเดินทางไปถึงหมู่บ้านเกิด...อีกห้านาทีจะถึงเวลาบ่ายสามโมงเย็น


บรรยากาศในวันเลือกตั้งในหมู่บ้านเกิดของเขา...


ประโยคแรกที่เขาได้ยิน  ทำให้รู้สึกสะดุ้ง...


"มาแล้วๆ นักข่าวคมชัดลึก..."


"มันเป็นพวกสนธิ..."


 


เป็นน้ำเสียงของเพื่อนบ้านที่ทั้งหยอกทั้งแซวเสียดเย้ย...นั่นคงหมายถึงว่า พวกเขากำลังสื่อให้เห็นว่า กลุ่มผู้ชุมนุมไม่เอาทักษิณ กับสื่อที่รายงานข่าววิพากษ์ทักษิณนั้นอยู่คนละขั้วกับชาวบ้าน


           


เขายกมือไหว้ครูใหญ่ที่เป็นประธานหน่วยเลือกตั้งประจำหมู่บ้าน ก่อนยื่นบัตรประจำตัวประชาชนให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลการรับผิดชอบการเลือกตั้งในครั้งนี้


           


เขาไม่โต้ตอบ...ได้แต่ยิ้มและทักทาย...เพราะแต่ละคนล้วนแต่เป็นพรรคพวกเดียวกัน (แต่ไม่ใช่พรรคเดียวกัน...เพราะญาติเขาบอกย้ำแกมข่มขู่ด้วยเหล้าสองตองบอกเขาว่า มึงต้องเลือกพรรคใครรักใคร  แต่ว่าเขาส่ายหน้าก่อนจะบอกว่า กูอยู่พรรคไม่รักใคร!)


           


แต่ก็นั่นแหละ...เมื่อเขาหยิบเอาบัตรสองบัตร ก่อนถือเดินเข้าคูหา เขารู้สึกแปลกใจ ที่คูหามันหันก้นให้หมู่กรรมการ  เขารู้สึกเหมือนกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังแอบจ้องมองดูตัวเขา


อากาศยังอบอ้าว  เขารู้สึกอึดอัดขัดข้อง พร้อมโก่นด่าในใจ...


"ไอ้ห่...หันตูดแบบนี้  พวกเอ็งก็ดูรู้หมดซีวะ  และไอ้ปากกาก็ผูกสายห้อยต่องแต่งทิ้งไว้ข้างล่าง  ใครจะกล้าไปหยิบเอาละเนี่ย  ยังดีนะ ที่พกปากกามาด้วย..." เขาสบถอยู่ในใจ...


           


หลังจากเขาพับเก็บบัตรเลือกตั้งเป็นสามส่วน  เขาเดินไปยัดในกล่องกระดาษสองกล่องที่อยู่เคียงกัน  อันไหนเป็นกล่องนายกฯ เป็นกล่อง ส.ส.เขาไม่รู้อะไรแล้ว เหมือนกับว่าชีวิตนั้นโดนบดเบลอให้เลอะเลือน แต่ทุกคนได้ยินเขาพูดพึมพำๆ อยู่อย่างนั้นซ้ำๆ ไปมา


           


"บัตรเลือกตั้งก็สีโทนเดียวกัน ดูสิ กูยัดลงกล่องไหนๆ ไม่รู้เลย  แต่กูรู้ว่าการเมืองครั้งนี้มันแย่เม็ด...แต่ก็ต้องจำยัดใส่กล่องนั้น"                 


 


2


 


เขานั่งอยู่ตรงนั้น,บนเนินเขาเหนือหมู่บ้าน


แดดลับดอยไปแล้ว ลมอุ่นจากท้องทุ่งล่องลอยมาแต่ไกล


ใครบางคนแอบเหน็บแนมว่า ได้กลิ่นดอกจัญไรโชยกลิ่นมาบ้างมั้ย...


เขาเกือบเอาบาทาถีบใส่  ด้วยอารมณ์แปรปรวนไม่คงที่


           


"ช่างมันเถอะ...ปล่อยมันไป" เขาไล่เรื่องราวไปให้ไกล  ก่อนกลับเข้าสู่โลกของตัวเอง


           


เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกจากถุงย่ามออกมาอ่าน เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ชื่อ "ตลกร้ายของอินเดียนแดง"  "คำผุย  สีโตทก" แปล สำนักพิมพ์ทางทอง จัดพิมพ์ ใช่ เป็นตลกร้ายที่ซ่อนแฝงไว้ให้รู้รสขบขันอย่างขมๆ ขื่นๆ ปนหยัน


 


"คนที่หลั่งน้ำตาไปมากอย่างอินเดียน  เขาย่อมต้องการเสียงหัวเราะเอาไว้ต่อชีวิต" เขาอ่านคำโปรยบนหน้าปก


           


เมื่อเขาพลิกอ่านทีละหน้าๆ ก็สะดุดกับเรื่องๆ หนึ่ง มันช่างสอดคล้องกับการเมืองของไทยในขณะนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


 


"หมาเลือกตั้ง"


เป็นนิทานอินเดียนแดง เผ่าบรือเลซูซ์  โดยมีกวางพิการเป็นผู้เล่า... ลองอ่านกันดู...


 


...เราไม่ได้คิดอะไรมาก  เรื่องการเลือกตั้งของคนขาว  เพราะไม่ว่าใครจะชนะ เราอินเดียนแพ้เสมอ  เอาล่ะ เรามีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการเลือกตั้งมาเล่าให้ฟัง


 


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  บรรดาหมากำลังอยู่ในช่วงการรณรงค์เลือกตั้งประธานาธิบดีหมา  หมาตัวหนึ่งได้ลุกขึ้นยืนในที่ประชุมใหญ่ของหมา และว่า "ข้าขอเสนอหมาบุลล์ด็อกเข้าชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดี เขาแข็งแรง เขากัดเก่ง"


 


"แต่เขาวิ่งไม่เก่ง" หมาอีกตัวสอด "กัดเก่งจะดีตรงไหน ถ้าวิ่งไม่เร็วเสียอย่าง? เขาจะไล่กวดใครทัน"


หมาอีกตัวลุกขึ้นบ้าง  "ข้าขอเสนอหมาเกรย์ฮาวน์ด์ เพราะเขาวิ่งเร็วที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย"


 


แต่หมาอีกตัวหนึ่งค้านสุดเสียง  "ว้า...เขาวิ่งเก่งแน่  แต่กัดไม่เป็นนี่สิ  พอเขาไล่กวดผู้ร้ายทัน  แล้วทีนี้จะเกิดอะไรขึ้น?  เขาก็จะปล่อยให้มันขย้ำคอเขานะสิ  ถ้าเขาหลุดออกมาจากเขี้ยวมันได้  คราวนี้  เขาจะวิ่งได้เร็วเป็นสองเท่า  นี่ไง  ความดีของเขาอยู่ตรงที่วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตนี่ไง"


 


และแล้วก็มีหมาหน้าโง่  หน้าตาน่าเกลียด  ตัวเล็กๆ  กระโดดลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดว่า "ข้าใคร่ขอเสนอ  หมาตัวนั้นเป็นประธานาธิบดี ตัวที่ใต้หางของมันมีกลิ่นสะอาดน่าดมนั่นแหละ"


 


ทันใดนั้น  เจ้าลูกหมาขี้เหร่พอกันก็กระโดดผลุง  ร้องลั่น  "ข้ารับรองญัตติ"


คราวนี้  ราวกับนัดหมายกันไว้  หมาทุกตัวต่างก็เริ่มดมใต้หางซึ่งกันและกันทันที  แล้วเสียงร้องขรมใหญ่ก็ดังขึ้นพร้อมๆ กัน


"ฟีว์  กลิ่นใต้หางแย่จัง"


"ไม่ใช่ตัวนี้แน่"


"เขาช่างไม่มีกลิ่นของประธานาธิบดีเอาเสียเล้ย!"


"ไม่มี  รายนี้ก็ไม่มี"


"นี่ก็เหมือนกัน  ไม่ใช่ตัวที่เราเลือก"


           


เวลาที่คุณออกไปเดินเล่นนอกบ้าน  ถ้าสังเกตดูหมากันสักหน่อย  จะเห็นพวกมันยังคงดมใต้หางของกันและกันอยู่  นั่นแสดงว่า พวกมันกำลังค้นหาผู้นำที่ดีของมันอยู่อย่างไม่ลดละ  และพวกมัน  ก็ยังไม่เจออยู่นั่นเอง...


           


เมื่อเขาละเลียดอ่านนิทานเรื่องนี้จบลง  เขาหัวเราะออกมาดังลั่นดอย จนหลานชายหันมามองด้วยความแปลกใจ ไม่รู้สิ อาจเป็นวิธีผ่อนคลายอย่างหนึ่งของเขา  หลังจากเครียดเรื่องการเมืองมานาน        


ในช่วงที่การเมืองไทยกำลังกลายเป็นตลกร้ายที่ซ่อนแฝงไว้บนความเจ้าเล่ห์


ยิ่งทำให้ชีวิตหลายๆ คนรู้รสขบขัน ขมๆ ขื่นๆ ได้บ้าง


 


เขาบ่นกับตัวเอง...ถ้าหมาพูดภาษาคนเราได้...ตะแกอาจจะตะโกนบอกการเลือกตั้งที่ผ่านมาว่า...


"นี่ก็เหมือนกัน  ไม่ใช่ตัวที่เราเลือก...ฮาๆ..."


 


และสุดท้าย,จะเห็นพวกมันยังคงดมใต้หางของกันและกันอยู่ นั่นแสดงว่า พวกมันกำลังค้นหาผู้นำที่ดีของมันอยู่อย่างไม่ลดละ  และพวกมันก็ยังไม่เจออยู่นั่นเอง...