Skip to main content

เด็กติดเซ็กส์ VS รักนวลสงวนตัว

คอลัมน์/ชุมชน





































































เป็นข่าวเกรียวกราวฮือฮากันมาได้ระยะหนึ่งแล้วเรื่องของเด็กวัยรุ่นไทยไปแสดงบทรักกันแบบโจ่งแจ้งในที่สาธารณะโดยที่เริ่มจากมีคนพูดถึงว่ามีการพลอดรักกันบนรถเมล์ แล้วก็เลยลามปามสืบค้นกันไปเรื่อยเปื่อย ข่าวก็ออกมาเป็นข่าวต่อ ๆ กันไปอีกว่าตามโรงหนังก็มี ตามร้านพวกฟาสต์ฟู้ดก็มีในบริเวณที่นั่งที่ลับตาคน

 

ในที่สุดก็พาลจะทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านในเมือง จนกระทั่งไปถึงนักจิตวิทยาเด็กไม่ว่าจะเป็นยาจริงหรือยาปลอม ก็ออกมาเต้นแบบรับไม่ได้กับพฤติกรรมอย่างนี้ บางคนถึงกับวิเคราะห์และตัดสินกันไปเลยว่า พวกนี้เป็นเด็กติดเซ็กส์ พวกที่มีอำนาจหน่อยก็ออกมาหามาตรการป้องกันการกระทำแบบนี้ของเด็กด้วยวิธีต่าง ๆ นานา และในที่สุดสิ่งที่ไม่คิดว่าจะใช้ได้ผลเลยก็ยังถูกนำมาพูดถึงอีกแล้วคือการออกมารณรงค์ว่า " หญิงไทยต้องรักนวลสงวนตัว"

 

ก่อนที่จะพูดกันว่ามีเรื่องเด็กติดเซ็กส์จริง ๆ หรือ หรือว่าเป็นแค่เรื่องที่ตีโพยตีพายกันไปเอง แล้วผู้คนในสังคมจะต้องเดือดร้อนกันมากแค่ไหน แล้วเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ การติดเซ็กส์กับการรักนวลสงวนตัวเป็นเรื่องที่เรียกว่าเป็นคนละเรื่องเดียวได้หรือเปล่า

 

อยากให้มาดูที่มาที่ไปของเรื่องกันสักเล็กน้อย กล่าวคือ หลังจากที่มีข่าวเรื่องมีเด็กพลอดรักบนรถเมล์ก็มีนักจิตวิทยาคนหนึ่ง (ไม่แน่ใจว่าจะเป็นนักจิตวิทยาจริงหรือเปล่า) ที่ชอบออกให้ความเห็นในรายการโทรทัศน์บ่อย ๆ ออกมาบอกว่า เรื่องแบบนี้เดี๋ยวนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก และเด็กที่มีพฤติกรรมแบบนี้หลายคนก็เป็นเด็กติดเซ็กส์ อีกทั้งยังให้ข้อสังเกตเอาไว้ว่า เด็กที่มีลักษณะที่ว่าเป็นการติดเซ็กส์ก็คือ ชอบดูรูปโป๊ หรือชอบแอบดูหนังโป๊ ชอบคิดเรื่องเพศ หรืออาจชอบช่วยตัวเอง หรืออาจชักชวนให้คนอื่นมามีเพศสัมพันธ์กับตัวเอง อุแม่เจ้า! ถ้าเชื่อตามบุคคลท่านนี้ว่าแล้วละก็ เห็นทีคนไทยหรืออย่างน้อย ๆ วัยรุ่นก็มีแนวโน้มติดเซ็กส์กันไปหมด ดูเหมือนจะเป็นการพูดหรือให้ความเห็นแบบไม่ได้อิงแม้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องหลักจิตวิทยาแม้แต่น้อย เพราะว่านั่นเป็นประเด็นของความอยากรู้อยากเห็นทั้งสิ้น ซึ่งเป็นเรื่องปรกติของมนุษย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งวัยรุ่น และเรื่องเพศก็เป็นเรื่องที่ยิ่งอยากรู้เข้าไปอีก

 

คราวนี้ประเด็นเรื่องที่เด็กไปแสดงบทรักกันในที่สาธารณะนั้น จู่ ๆ จะมากล่าวหากันว่าเป็นการติดเซ็กส์เชียวหรือ จะจิตใจคับแคบกับเยาวชนของชาติกันมากไปหน่อยกระมัง เขาแค่อยากแสดงความรัก เพราะอาการถ้าถึงขั้นติดนี่มันก็น่าจะต้องไปบำบัดกันแล้วนะ และถ้าเป็นตามข่าวจริงเด็กไทยป่วยกันมากขนาดนี้เชียวหรือ แล้วใครทำให้เขาต้องเป็นอะไรมากขนาดนั้น

 

อันที่จริงเรื่องการไปแสดงบทรักกันในที่สาธารณะนั้นน่าจะเป็นเรื่องของการไปด้วยกันไม่ได้ระหว่างพฤติกรรมทางเพศกับเรื่องค่านิยมทางสังคมเสียมากกว่า กล่าวคือ คนเราเมื่อเจริญวัยมาถึงวัยหนึ่ง โดยธรรมชาติเองนั้นทำให้มีความสนใจในทางเพศในเรื่องเพศ การมีความรู้สึกอยากสัมผัสอยู่ใกล้ชิด และการอยากมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งเรื่องนี้เกิดได้กับคนในวัยเจริญพันธุ์ทุกคน แต่คราวนี้ เรื่องวัยที่เหมาะสมนั้นอาจจะเป็นทั้งโดยธรรมชาติ และโดยสังคมกำหนด และเรื่องสถานที่และโอกาสหรือที่เรียกว่ากาลเทศะนั้นก็เป็นเรื่องที่สังคมกำหนดโดยแท้

 

การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรนั้น หากพูดโดยทางหลักสรีระแล้วหมายถึงว่าร่างกายยังไม่เติบโตเต็มที่ ยังไม่สมควรที่จะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งอาจส่งผลต่อภาวะต่าง ๆ ของร่างกายได้และแม้กระทั่งการติดเชื้อโรคต่าง ๆ อันเกิดจากเพศสัมพันธ์นั้นก็เป็นไปได้ง่ายด้วย ประเด็นนี้เป็นเรื่องของความรู้ เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ ส่วนในทางสังคมนั้นถือว่าเป็นวัยที่ยังไม่พร้อมในการจะรับผิดชอบต่อผลของการกระทำที่จะเกิดตามมา เพราะส่วนใหญ่ยังอยู่ในการดูแลของพ่อแม่ ยังไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ และในทางค่านิยมและวัฒนธรรมของไทยนั้นไม่พร้อมที่จะเห็นการแสดงความรักในที่เปิดเผยรวมทั้งมีค่านิยมเรื่องที่ " ผู้หญิง" จะต้องครองพรหมจรรย์ไว้กับผู้ชายที่จะแต่งงานด้วยเท่านั้น หาไม่แล้วจะกลายเป็นหญิงไม่ดี และอันนี้เองเป็นที่มาของความว่า " รักนวลสงวนตัว"

 

ทั้งนี้ คำ รักนวลสงวนตัว ซึ่งไม่เข้าใจเลยว่าแปลว่าอะไร ห้ามผู้หญิงไปถูกเนื้อต้องตัวผู้ชาย หรือ ห้ามมีเพศสัมพันธ์กันก่อนแต่งงาน แต่ที่แน่ ๆ คำนี้ใช้สอนผู้หญิงอย่างเดียวใช่หรือไม่ ผู้ชายจำเป็นต้องปฏิบัติด้วยหรือไม่ คงไม่หรอก แต่คราวนี้พฤติกรรมทางเพศอันเกิดขึ้นมานั้นเป็นเรื่องของทั้งสองเพศเกิดขึ้นระหว่างหญิงและชาย แต่เราก็จะยังคงรณรงค์เรื่องการป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร และ อยู่ในกาลเทศะที่ไม่เหมาะสมด้วยคำพูดแบบนี้กันอยู่เลย ที่สุดแล้วเราจะแก้ปัญหาได้จริงหรือ

 

ได้เห็นเรื่องแบบนี้แล้วก็อยากจะสรุปไปเลย ในที่สุดแม้เราจะมีความก้าวหน้าในทางธุรกิจในทางเทคโนโลยีแค่ไหนก็ตามแต่ประเด็น บทบาทหญิงชายก็ยังคงไม่ไปถึงไหน ดังจะเห็นได้จากการใช้คำในการรณรงค์เรื่อง ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว ที่ยังมีอยู่ก็สะท้อนถึงการพิพากษาผู้หญิงฝ่ายเดียว และการโยนภาระรับผิดชอบให้อยู่กับฝ่ายหญิงอยู่ดี ทั้ง ๆ ที่ในสังคมนี้อำนาจการต่อรองในทางเพศของผู้หญิงนั้นเรียกได้ว่ามีน้อยมากจนแทบจะไม่มีเลย ก็น่าแปลกใจมากในสังคมไทยนี้เวลาประเด็นเรื่องการกระทำที่มักอ้างว่าผิดศีลธรรมในกรณีของเรื่องเพศแล้วล้วนกลายเป็นผู้หญิงที่ต้องรับผิดชอบและถูกประณาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวีซีดีโป๊ ผู้หญิงขายบริการ ทั้งที่ผู้ผลิต คนดู ผู้ซื้อล้วนเป็นผู้ชาย

 

ที่ว่ามานี้ไม่ได้หมายความว่าจะให้ใครไปตีความทื่อ ๆ ว่า แปลว่าจะให้ผู้ชายรักนวลสงวนตัวด้วยกระนั้นหรือ ย่อมไม่ใช่ หรือถ้าผู้ชายอยากจะทำอย่างนั้นก็ได้ แต่มันไม่เป็นจริงคือมันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นที่กล่าวมานี้ก็หมายความว่า ทำไมถึงไม่แก้ไขปัญหาให้ถูกวิธี และตรงจุด เช่น

 

เริ่มต้นจากการยอมรับความจริงกันเสียก่อนว่าเรื่องเพศนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติและ วัยรุ่นนั้นเป็นวัยอยากรู้อยากเห็น แต่จะทำอย่างไรที่จะทำให้เรื่องเพศนั้นออกมาให้สมดุลกับวิถีชีวิตที่แท้จริง

 

วิธีการที่น่าจะใช้ได้จริง น่าจะอยู่ที่ว่าต้องเลิกได้แล้วเรื่องไม่กล้าสอนหรือพูดถึงเรื่องเพศศึกษา ด้วยเกรงว่าจะเป็นการชี้โพรงให้กระรอก และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นครู หรือเป็นสื่อต่าง ๆ ที่ชอบกระพือข่าวทั้ง ๆ ที่ไม่ควรจะเป็นข่าวก็ควรจะเข้าใจให้กระจ่างชัดด้วยว่า การสอนเรื่องเพศศึกษาไม่ได้สอนให้ร่วมเพศกันเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสอนเพศศึกษาที่ทำให้เด็กรู้และเข้าใจในพัฒนาการของตัวเอง คือเริ่มตั้งเด็กเล็ก ๆ จนกระทั่งมาถึงวิธีการมีเซ็กส์ที่ปลอดภัย และมีเซ็กส์ที่รับผิดชอบ

 

เคยได้ยินคนคุยข่าวรายการดังรายการหนึ่งเคยได้ยินออกมาวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อได้ฟังประเด็นว่าจะมีการสอนเพศศึกษาในเด็กประถมต้น ทำท่าตกใจโวยวายว่าอะไรกันจะสอนกันไปได้อย่างไร แสดงว่าคน ๆ นี้คิดเป็นอยู่เรื่องเดียว หาได้มีความรู้ไม่ว่า เพศศึกษา หรือ sex education นั้น มันเป็นการพูดถึงทั้งหมดที่เกี่ยวกับเพศและเพศวิถี ( sex and sexuality ) ซึ่งในนี้อาจมีเรื่อง sexual relationship ( ความสัมพันธ์ทางเพศ) sexual intercourse ( การร่วมเพศ) ได้เมื่อถึงเวลาอันควร

 

ถ้าเด็กมีความรู้ความเข้าใจ บวกเข้ากับความรับผิดชอบซึ่งหมายถึงความรับผิดชอบต่อทั้งตัวเอง และผู้อื่นทั้งในแง่ของร่างกายและจิตใจความรู้สึกด้วยแล้ว เข้าใจว่าค่านิยมคิดว่าจะต้องมีเพศสัมพันธ์กับคนมากหน้าหลายตาถึงจะดูดี หรือ ปัญหาสังคมอันเกิดมาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็คงจะมีน้อยลง หญิงชายต่างคิดถึงความรับผิดชอบได้เท่าเทียมกัน

 

ทั้งนี้ ในเรื่องของค่านิยมนั้น การมาบอกผู้หญิงให้รับผิดชอบฝ่ายเดียวและถูกลงโทษฝ่ายเดียวนั้นไม่มีทางสำเร็จได้จริง เพราะเป็นเรื่องที่ต้องร่วมกันทั้งสองฝ่าย ดังนั้นประเด็นรักนวลสงวนตัว จึงเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดการให้ค่าผู้หญิงอยู่กับเรื่องพรหมจรรย์ ซึ่งหมายความว่าหากผู้หญิงคนหนึ่งเคยมีสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชายมาแล้ว คุณค่าของความเป็นคนคงหมดไปทันที การชูประเด็นรักนวลสงวนตัวจึงไม่เกิดผลดีแก่ใครเลย การรณรงค์ควรเน้นการมีเพศสัมพันธ์แบบรับผิดชอบน่าจะเป็นการเหมาะสมกว่าเป็นไหนๆ

 

การสอนให้คนคิดเป็น รู้จักรับผิดชอบทั้งต่อตัวเองและต่อผู้อื่น ตลอดจนสิ่งที่เรียกว่ารู้จักผิดชอบชั่วดีนั้น จะทำให้ภาพของการไม่ถูกกาลเทศะค่อย ๆ หายไป และการที่สอนให้คนรู้จักความรับผิดชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนให้มีเซ็กส์ที่ปลอดภัยและรับผิดชอบจะทำให้ปัญหาสังคมลดน้อยลง อย่างน้อยการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยจะช่วยให้ปลอดจากการติดโรคติดต่อต่างๆทางเพศสัมพันธ์

 

กล่าวโดยสรุป ความเหมือนของการใช้คำว่าวัยรุ่นติดเซ็กส์ และบอกว่าผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัวนั้นในประเด็นนี้เรียกได้เลยว่าเป็นคนละเรื่องเดียวกัน กล่าวคือ สะท้อนให้เห็นความคิดแบบตีตราเหมือนกัน และสะท้อนให้เห็นถึงความฉาบฉวยของผู้หลักผู้ใหญ่ในการแก้ปัญหา และการตัดสินคนโดยผ่านวิธีคิดแบบคร่ำครึ ในสังคมที่มีแต่คนปากว่าตาขยิบ นั่นเอง