Skip to main content

หลับเสีย

คอลัมน์/ชุมชน






คืนน้ำค้างพร่างฟ้า             คืนหนาว


ดึกดื่นตื่นชมดาว               หม่นไหม้


ใครผิวขลุ่ย เพรียกราว       ประหนึ่ง


เหมือนมาห่มใจให้            ปร่าร้าว ระทม


 


ลมพัดดอกไม้ร่วง              พรูพราย


ว้าเหว่อยู่เดียวดาย            ว่างร้าว


จมเจ็บอยู่มิวาย                 ดวงจิต


วันผ่านเวลาก้าว                บ่รู้จักลืม


 


อยากลืมเธอสิ้นจาก           ชีวัน


ลืมบ่ลืมกลับฝัน                อยู่ใกล้


สะดุ้งตื่นฝันอัน                 หลอนหลอก


โดดเดี่ยวกระท่อมไร้          เปล่าร้าง อาดูร


 


อุ่นเพียงแค่อ้อมกอด         ตัวเอง


เพลงขลุ่ยยังเพรียกเพลง    หมองเศร้า


ขับคืนหม่นวังเวง               ว้าเหว่    


กล่อมหมู่ยาจกเจ้า             หลับเสีย.


 


ราวปี 2530 ครั้งหนึ่งในบ้านริมคลอง คืนที่กลับจากการเดินทางแวะมาเยี่ยมพ่อแม่ น้องยังเป็นเด็กตัวอ้วนๆ น่าเอ็นดู ฉันเคยนั่งเล่นข้างหน้าต่างคนเดียวในยามดึก ดูดาวเต็มฟ้า แล้วทันทีทันใด ก็มีเสียงขลุ่ยแว่วมา


 


จำได้ดีว่า เสียงนั้นหวานเศร้า ไพเราะมาก ลอยมาจากหนแห่งใดไม่อาจคาดเดา ดอกคะมอกในบ้านฝั่งตรงข้ามหลับใหลในความเงียบงัน ฉันเห็นแต่ดาวกับความมืดที่โอบล้อมรอบตัว นานๆ สักที จะมีเสียงไผ่ไหวกอตามลมดังเอียดออด เอียดออด เคล้าน้ำไหลในฝาย อย่างไรก็ดี ดนตรีคืนนั้น เหมือนหลอมรวมกับทุกๆ สิ่ง


 


ในตอนนั้น ในหมู่บ้านของเรามีชายคนหนึ่งที่เขาเรียกกันว่า "เป็นบ้า" ถึงวันนี้ ฉันลืมชื่อเขาไปเสียแล้ว จำได้แต่รูปลักษณ์ผอมบาง สวมเสื้อขาดวิ่น เขาเป็นมิตรกับคนในบ้านเรา ในความหมายว่าแม่เคยแบ่งข้าว แบ่งขนม และจุนเจือเสื้อผ้าแก่เขาตามสมควร ยังจำรอยยิ้มกับแววตาดีใจเมื่อได้รับ ฉันเคยเห็นเขามีย่ามใบหนึ่ง บางที ในนั้นอาจซ่อนขลุ่ยสักเลาหนึ่ง?


 


แต่ครั้งหนึ่ง ตอนยังเรียนหนังสืออยู่ ฉันนั่งข้างหน้าต่างในห้องเรียน เห็นคนแก่เกล้าผมมวย นุ่งซิ่น หาบคอนสิ่งของงกๆ เงิ่นๆ เดินมานั่งพักเหนื่อยริมรั้ว เมื่อดูใกล้มากเข้าจึงได้เห็นว่าเขาเป็นชาย ไม่ใช่หญิง เป็น "กะเทยเฒ่า" ที่ผู้คนหัวเราะขบขัน เขาเดินไกลจากหมู่บ้านหนึ่งถึงอีกหมู่บ้านหนึ่ง ขายขนมถุงละบาทสองบาท บางทีฉันก็คิดว่า เขาอาจมีขลุ่ยด้วยเช่นกัน?


 


แต่ก็มีผู้หญิงอีกคน ใครๆ ก็ว่าเธอ "เป็นบ้า" ด้วย ทั้งที่ตักน้ำ หาบข้าว รับจ้างทำงานสารพัดเพื่อดูแลพ่อแม่ที่แก่แล้ว ไม่ยอมออกเรือนมีครอบครัว ฟันเธอเหยินเหมือนแก้วหน้าม้า บางที เด็กๆ ก็จะล้อมวงล้อเลียนเธอต่างๆ นานา ฉันคิดอีกว่า เธอก็อาจเปล่าขลุ่ยเป็น


 


แต่ไม่แน่กระมัง อาจเป็นชายที่ยังหนุ่ม หรือม่าย เมียตาย เมียทิ้ง กำลังรำพันฝันหาใครสักคนที่ไม่มี ฉันคิดไปอีกมากมาย ในจินตนาการอันไร้ขอบเขต ว่าใครกันหนอกำลังพรมนิ้วนั้น?


 


ดูเหมือนอีกนานต่อมา เพื่อนคนหนึ่งถามว่า ทำไมถึงคิดอะไรอย่างนั้น คิดว่าคนทุกข์เหล่านั้นเป็นเจ้าของบทเพลง ฉันตอบว่า เพราะเพลงนั้นเศร้าจับใจ ยิ่งฟัง ยิ่งตระหนักถึงห้วงอารมณ์ที่ถ่ายทอดออกมา ลดเลี้ยวดังน้ำไหล เอื้อนช้า โหนสูง ทอดลงแล้วกระหวัดขึ้น ไล้เลื้อยเหมือนไม้เสียดยอด เอื้ออ่อนตามแรงลมพา ปากและนิ้วและหัวใจของเขาคงหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวแน่แล้ว


 


เพื่อนหัวเราะ พูดสั้นๆ ว่า "เหงาใช่ไหม"


 


ฉันนึกถึงบทกวีนี้อีกครั้ง เมื่อไม่กี่วันก่อน  ขณะดูโทรทัศน์เห็นข่าวการกลับบ้านของคาราวานคนจนที่มาให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีภาพเช่นกันว่าท่านกำลังจะไปพักผ่อนที่อังกฤษกับครอบครัว


 


เพ่งมองหน้าดำๆ ของประชาชน ที่ฝนมาแล้วก็คงต้องกลับไปทำนา มิได้ออกรอบตีกอล์ฟ หรือ ช็อปปิ้งกับเขาแต่อย่างใด ดีไม่ดี ฝนมาหลังคารั่ว จะขี่อีแต๋นไปไหน?


 


แปลกมาก ฉันคิดว่า อารมณ์ที่มองดู "คนจน" (เขาตั้งชื่อกันเองใช่ไหม) เหล่านั้น พ้องพานกับอารมณ์เมื่อสิบกว่าปีก่อน ที่นั่งอยู่ในบ้านไม้เก่าๆ ดูดาว ฟังเพลงนิรนาม แล้วความคิดก็ไหลเรื่อยเลื่อนเปื้อน คิดเอาเองว่า มีแต่คนทุกข์ยากกระมังขับเพลงอย่างนั้นออกมาได้


 


เพราะคนอยู่สุขสบาย อิ่มหมีพีมัน หรือจะมานั่งชมดาว คิดว่าพรุ่งนี้ชีวิตจะดำเนินไปอย่างไร หรือถ้าคิด ก็อาจมีหนทางมากมายให้เลือกเดิน ไม่ได้ถูกจำกัดให้ลงน้ำลุยโคลน กระเสือกกระสนไปตามยถากรรม แล้วยังคิดอีกว่าจะปลูกดอกไม้ให้เขา!


 


แปลกจริงๆ ฉันนั่งดูข่าว เห็นดอกกุหลาบแดงนับพันหมื่นช่อ เสียงเรียกชื่อกึกก้อง น้ำหูน้ำตาแห่งความอาลัย บทรำพันแห่งการ PAUSE ซึ่งกลายเป็น "การเสียสละครั้งยิ่งใหญ่" กับการจากไปอย่างเงียบกริบ รวดเร็ว ไม่อึกทึกเหมือนขามา


 


โอ้...ประชาชนบนอีแต๋น อา...กระดูกสันหลังของชาติ อืม...ถ้าเพียงแต่ฉันสามารถเล่นดนตรีได้บ้าง ในบางค่ำคืนเมื่อพวกเธอกลับสู่เคหากันแล้ว อยากแบ่งเพลงนี้ให้ฟัง


 


เพลงที่ไร้สุ้มเสียงในที่สาธารณะ แถมบางทีอาจมีแค่คน "เหงา" ไม่กี่คน จะจับใจความได้ทัน เพลงอันร้องอยู่ไม่กี่ประโยค วนไปวนมา เพลงที่ซ้ำๆ แค่ว่า


 


 "หลับเถิด...หมู่ยาจกเอ๋ย...หลับเสีย".