Skip to main content

อายปู่เย็น

คอลัมน์/ชุมชน

ในภาวะความร้อนแรงของการเมืองบ้านเราวันนี้  ที่พูดกันตรงๆ ว่ายังไม่รู้ทิศรู้ทางว่า เราจะไปทางไหนกันดี  เหมือนที่ท่านสุนทรภู่  กล่าวว่าจิตมนุษย์นั้นไซร้ ยากแท้หยั่งถึง   โอ้ย...ยิ่งพูดยิ่งงง... มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า


 


เรื่องที่ต้องการพูดถึงคือเรื่องของปู่เย็น ที่แม้อายุเกิน 100 ปี แต่ปู่เย็นก็ยังทำงานเพื่อหาเงินยังชีพตนเองด้วย 2 มือ ที่เหี่ยวย่นและอ่อนล้าอย่างไม่ย่อท้อ  ถึงแม้คนภายนอกจะมองว่า นั่นคือความยากลำบาก  แต่ปู่เย็นกลับคิดว่ามันเป็นความลำบากที่หน้าภาคภูมิใจ เพราะถึงแม้อายุจะมากแล้ว แต่ปู่เย็นก็ยังสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรี ปู่เย็นจึงไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากใคร ๆ ที่ต่างพยายามหยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้  เพราะปู่เย็นคิดว่าตนเองยังสามารถทำงานไหวและพึ่งตัวเองได้ จึงไม่ยอมให้ตนเองเป็นภาระของใคร 


 


ไม่ใช่แค่นี้อาจารย์เสรี พงศ์พิศ  เล่าว่าเคยพาปู่เย็นไปออกรายการทีวี และทางรายการได้จ่ายค่าตัวให้กับปู่เย็น แทนที่ปู่เย็นจะรับไว้เพียงคนเดียว กลับเอามาแบ่งปันให้อาจารย์และคนขับรถที่ไปด้วยกัน อาจารย์ไม่เอาและบอกให้ปู่เย็นเก็บไว้ ปู่เย็นบอกว่าไม่ได้ ก็เรามาด้วยกัน ได้เงินก็ต้องแบ่งกันซิ  ทำเอาอาจารย์งงกับความซื่อและน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของปู่เย็น ซึ่งเป็นเรื่องที่สมควรแก่การน่ายกย่องให้เป็นเฒ่าผู้ทรนง  และเป็นผู้ที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเอง   เป็นที่น่าภาคภูมิใจของวงษ์ตระกูล   และเป็นแบบอย่างที่ดี ให้คนรุ่นหลังได้เอาเยี่ยงอย่าง 


 


แต่ในเวลาเดียวกัน ผู้คนมากมายในบ้านในเมืองของเรากับกระสันที่จะได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น   อยากได้ของที่ไม่ใช่ของ ๆ ตนเอง และทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งของและอำนาจที่ตอบสนองความต้องการของตนเอง  ทำให้ทำได้ทุกอย่างทุกวิถีทาง  โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น และเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่สามารถสนองตัณหาและความต้องการของตนเองและพวกพ้อง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม  ด้วยการโกง ทั้งโกงตรง ๆ หรือโกงอย่างทับซ้อน โกงทั้งตระกูล หรือโกงทั้งโคตร  หรืออื่น ๆ (นึกคำไม่ถูกกับคนพวกนี้) เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมาเป็นของตนเอง พวกที่มีร้อย ก็อยากมีพัน พวกมีพัน ก็อยากมีหมื่น มีแสน มีล้าน ไอ้พวกมีหมื่นมีแสนมีล้านก็อยากมีชื่อติดอันดับต้น ๆ ของระดับเศรษฐีโลก (เท่าไรมันก็ไม่พอ) แต่ละชั้น แต่ละรุ่น ความอยากได้แตกต่างกันไป


 


วันนี้ผู้เขียนต้องการเขียนถึง พี่น้องเราที่เรียกตนเองว่าคนจน คนที่เป็นหนี้ ที่กำลังเรียกร้องความช่วยเหลือจากรัฐ ให้ช่วยชำระหนี้ ให้ช่วยแก้ปัญหาความยากจนอยู่ในปัจจุบัน  โดยลืมแม้แต่การพึ่งพาตนเอง  เพราะถูกกระแสกระแสทุนนิยม กระแสพี่ไม่ต้องเดี๋ยวน้องให้  และกระแสรวย ๆ ๆ ๆ  กรอกหูอยู่ทุกวัน มาตลอด 5 ปี ของการอยู่ในอำนาจของพรรคไทยรักไทย  วันนี้พี่น้องเรา จึงต้องรอการช่วยเหลือจากรัฐ จนคิดว่าเรื่องเหล่านั้นมันจะเกิดขึ้นจริง ความฝันความหวังทั้งหมดจึงฝากไว้กับผู้อื่นทั้งสิ้น โดยลืมไปว่าคนแรกที่จะช่วยเราคือตัวเราเอง ไม่มีใครช่วยเราได้ หากเราไม่ช่วยตนเอง


 


วันนี้ทุกคนถูกปลูกฝังให้ต้องหาเงินให้เยอะๆ เพื่อให้พอกับค่าใช้จ่าย  นั่นคือหามาเพื่อใช้ให้หมดไป บางครั้งหาได้น้อยแต่ใช้มาก ผลที่ตามมาคือหนี้สินเหมือนที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ขณะนี้  และยิ่งความต้องการใช้เงินมากกว่ารายรับที่หามาได้ ปัญหาหนี้สินก็เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ การช่วยเหลือตัวเองยิ่งห่างไกลออกไป จนไม่สามารถหาวิธีช่วยเหลือตนเองได้ ทั้ง ๆ ที่หากเรานึกย้อนกลับ เพียงเราลดรายจ่ายลงมาให้ได้เท่านั้น เราก็ไม่ต้องวุ่นวายหาเงินมาก ๆ เหมือนทุกวันนี้


 


หา 100 ใช้ 120 ยังไงก็ต้องเป็นหนี้ แต่หากเราหาได้ 100 ใช้ 70 ที่เหลือแน่ ๆ คือ 30 แต่เรื่องนี้เราลืมคิดกันไป จึงทำได้เพียงรอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาจะช่วยเราเมื่อไร อีกทั้งผู้มีอำนาจเองแทนที่จะคิดช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ กลับฉกฉวยเอาความอ่อนแอของสังคม มาช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับฐานการเมืองของตนเอง โดยเอาคนจนเป็นเกราะ (เป็นเหยื่อ) เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง อย่างเช่นการอ้างถึง 19 ล้านหรือ 16 ล้านเสียงที่เลือกมาแบบที่คุณทักษิณชอบทำเสมอ  ทั้งที่รู้ว่าจุดอ่อนแอของสังคมคืออะไร  แต่ไม่แก้ให้ตรงจุด กลับแก้เหมือนหมอที่เลี้ยงไข้  คือเลี้ยงเพื่อให้ยังมีลมหายใจ  แต่ยืนด้วยขาตนเองไม่ได้   ดังนั้น ความยากจนจึงยังเป็นสมบัติของคนไทยต่อไป 


 


การแก้ปัญหาความยากจนนั้นยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่การแก้ส่วนหนึ่งก็ไม่ควรแก้ด้วยน้ำลาย  แต่ต้องแก้ที่ความจริงใจและฐานคิดของคนจนเอง  ว่าเขาพร้อมที่จะหลุดพ้นจากความจนหรือไม่ หากตัวเขาไม่พร้อม เทวดาหน้าไหนก็แก้ไขเขาไม่ได้  จริงๆ ความจนนั้นไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายเสียทั้งหมด  เพราะความจนเป็นที่มาของความอดทนความเข้มแข็งและการต่อสู้  ตัวอย่างเช่น เมื่อวิกฤติปี 40 ไม่มีคนจนฆ่าตัวตายเลย มีแต่คนเคยรวยที่ฆ่าตัวตายเพราะทนไม่ได้กับความลำบากที่จะเกิดขึ้น เพราะภูมิของความอดทนมีต่ำเกินไป  คนที่มีเงินร้อย ไม่รู้หรอกว่าจะเอาตัวรอดอย่างไรถ้าเรามีเงินเพียงบาทเดียว  แต่คนจนสามารถเอาตัวรอดได้  ความจนทำให้ผัวเมียรักกันมากกว่ายามรวย  เพราะเมื่อรวยต่างคนก็ต่างหาความสุขให้ตนเอง(คนจนไม่ค่อยมีเมียน้อยผัวน้อยหรอกเพราะไม่มีปัญญาเลี้ยง)  ดังนั้น ความจนก็ยังมีส่วนดี


 


ความจนความรวยไม่ใช่ตัวชี้วัดความสุขของชีวิต ความพอดี ความพอใจต่างหากที่เป็นตัวชี้วัด  วันนี้ผู้เขียนเชื่อว่า ปู่เย็นมีความสุขและนอนหลับสบายอยู่กับความคับแคบของเรือมากกว่าคุณทักษิณที่นอนอยู่ในห้องแอร์ในคฤหาสน์ใหญ่โต ไปทางไหนมีแต่คนยกย่อง ไม่มีใครมาตะโกนว่า ออกไปๆๆๆๆ  มีแต่คนบอกว่า ปู่เย็นสู้ๆๆ  ปู่เย็นมีเงิน 5,000 แต่มีความสุขกว่าคุณทักษิณที่มี 73,000 ล้านบาท 


 


เรื่องราวที่เขียนมานี้พอจะบอกคุณทักษิณ และคนที่กำลังรอความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้ไหมว่า เขาเหล่านั้นควรจะอายปู่เย็นกันหรือยัง