Skip to main content

คุณค่า - มูลค่า

คอลัมน์/ชุมชน

 


 


เป็นที่ทราบกันดี และทราบกันโดยทั่วไป ว่าคุณทักษิณนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีฐานะร่ำรวยอย่างยิ่งคนหนึ่งของโลก และเมื่อกล่าวจำเพาะแต่ประเทศไทยแล้ว คาดว่าแม้ในอนาคตอันใกล้และไกล ก็ยังหานายกรัฐมนตรีท่านใดร่ำรวยเกินกว่าพันตำรวจโทดอกเตอร์ อดีตเจ้าของกลุ่มบริษัทชินผู้นี้ได้ยาก


 


มูลค่าทรัพย์สินของท่านเท่าที่ปรากฏอยู่ในหลักฐานที่น่าเชื่อถือ ตามที่สื่อมวลชนบางแขนงนำมาเผยแพร่ ก็แทบจะเกินกว่ากำลังสมองของคนทั่วไปจะคาดคิด หรือคำนวนนับโดยไม่ใช้เครื่องมืออิเลคโทรนิคเสียแล้ว เพราะเมื่อรวมๆ กันเข้า สินทรัพย์ของท่าน แม้จะแทนที่แต่ละนิ้ว ด้วยจำนวนนับ "พันล้าน-หมื่นล้าน" ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนัก ว่าจำนวนนิ้ว ทั้งมือและเท้า ของคนปกติ จะมีครบถ้วนให้ไล่นับคำนวนปริมาณเงินทองและทรัพย์สินของท่านได้ ว่ามี "มูลค่า" สักเท่าใดกันแน่...


 


นี่ยังไม่นับครอบครัวและวงศาคณาญาติ ตลอดจนสมุนบริวาร หรือเพื่อนร่วม อุดมการณ์-อุดมคติ ตลอดจนบรรดากิจการในต่างบ้านต่างเมือง ซึ่งอยู่ภายใต้ร่มเงา หรืออยู่ในอาณัติของท่าน ดังที่ใครต่อใครว่ากันในระยะที่ผ่านมานี้


 


เรียกได้ว่าคุณทักษิณมี "มูลค่า" ของทรัพย์สิน ไม่เป็นสองรองใครสักกี่คน "ในโลก" เลยทีเดียว....


 


แต่จะว่าไปแล้ว เอาเข้าจริง "มูลค่า" ที่ว่ามานั้น ก็ใช่ว่าจะมีประโยชน์โภชน์ผลอะไรนัก สำหรับการเป็น "นักการเมือง" หรือการเป็น "รัฐบุรุษ" ด้วยว่า "การเมืองที่แท้จริง" ออกจะต่างจาก "ธุรกิจ" ไปไกลจนเกินกู่ กล่าวคือ "คนดี" หรือ "นักการเมืองที่ดี" นั้น แทบไม่มีใครวัดกันด้วยเงินทองหรือทรัพย์สินในคลังประจำตระกูล รัฐบุรุษ หรือผู้นำรัฐต่างๆ ที่ได้รับการยกย่องในวงกว้างและอย่างยาวนาน หลายต่อหลายคนจึงอยู่ในฐานะพอมีพอกินเท่านั้น และมีไม่น้อย ที่ผู้สร้างคุณูปการทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ  แก่โลก หรือมนุษยชาติ กลับอยู่ในระดับผู้มีฐานะ "พอประมาณ" ชนิดที่ต้องประหยัดมัธยัสถ์เพื่อทำงานสาธารณะประโยชน์ อย่างแทบชักหน้าไม่ถึงหลัง


 


น่าประหลาดที่ ๔ -๕ ปีมานี้(หรือก่อนหน้านั้นไม่นานนัก) สังคมไทยกลับถูกกระทำให้เชื่อ ว่ามหาเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จจากภาคธุรกิจสูงๆ เท่านั้น ที่จะสามารถอยู่ในฐานะ หรือดำรงตำแหน่งผู้บริหารราชการแผ่นดินระดับสูง ได้อย่างขาวสะอาด หรือบริสุทธิ์ยุติธรรม


 


วลีที่ว่า "คนรวยไม่โกง" หรือ "ถ้าไม่ใช่ทักษิณแล้วจะมีใคร" ดูจะกลายเป็นคาถาติดปาก แม้ว่าข่าวผลประโยชน์ทับซ้อน หรือการคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย จะมีอยู่ควบคู่กันไปกับการบริหารบ้านเมืองในยุคของคุณทักษิณตลอดมาก็ตาม


 


ความสับสนระหว่าง "มูลค่า" ที่หมายถึงเพียง "ค่า" หรือ "ราคาของสิ่งของ" กับ "คุณค่า" ที่หมายถึง "คุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ของสิ่งนั้นๆ" จึงกลายเป็น ‘มายาคติ’ ที่บดบังความจริงของ คุณทักษิณ ชินวัตร ไปเสีย จนผู้คนจำนวนไม่น้อย พากันหลงไหลได้ปลื้มกับความสำเร็จทางธุรกิจของพ่อค้า ที่จะมากจะน้อย ก็เป็นการขูดรีดกำไรส่วนเกินไปจากผู้บริโภค พร้อมๆ กับการหลีกเลี่ยง ที่จะจ่ายคืนให้กับรัฐ ไม่ว่าในรูปภาษี หรือการ ทดแทน-ชดเชย อื่นๆ


 


ขณะเดียวกัน ถ้ามองในอีกด้านหนึ่ง เมื่อพ่อค้าหันมา "เล่นการเมือง" ความสับสนระหว่าง "คุณค่า" กับ "มูลค่า" อย่างที่ตนเคยยึดถือเมื่อครั้งประกอบธุรกิจ ก็ดูจะเป็น ‘มายาคติ’ ของนักธุรกิจการเมืองอย่างเขา(และเธอ)ไปด้วยเช่นกัน ว่าถึงที่สุดแล้ว พวกเขา(และเธอ)ควรจะมีท่าทีเช่นไร กับ "คุณค่าทางการเมือง" ที่น่าจะหมายถึง "การเสียสละ" ในรูปแบบของ "การให้" หรือ "การจ่ายออก" เพื่อประโยชน์สาธารณะ และการ "รับเข้ามา" ซึ่งผลตอบแทนจากการทำงานอย่างทุ่มเท ที่มาจากเงินภาษีอากรของประชาชนทั้งมวล ทั้งที่เลือก และไม่เลือกพวกตนเข้ามาเป็นตัวแทน


 


คุณค่าของนักการเมือง จึงน่าจะอยู่ที่คุณสมบัติอันเป็นประโยชน์หรือความสามารถ ที่จะปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าของอำนาจอธิปไตยให้บรรลุวัตถุประสงค์โดยรวมได้อย่างดีที่สุด เช่น การรังสรรค์สังคมเป็นสุขและสงบเย็น ในนามของมนุษยชาติ แทนที่จะหมายถึงปริมาณที่เพิ่มขึ้นของโภคทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นของนักการเมืองเอง หรือประชาชนในประเทศนั้นๆ ก็ตาม


 


ธรรมะชนิดธรรมดาและเรียบง่ายของการเมืองนั้นมีอยู่อย่างแน่นอน และคงไม่ยากเย็นอะไรในการปฏิบัติให้เป็นจริง เช่นเดียวกับคุณธรรมและจริยธรรมขั้นพื้นฐาน ซึ่งสามัญสำนึกของวิญญูชนก็พอจะทราบได้เอง และปฏิบัติเองได้ การตีความเข้าข้างกิเลส และมุ่งสนองตัณหา อันมีอวิชชาเป็นที่ตั้งต่างหากมิใช่หรือ ที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแบ่งสรรอำนาจและผลประโยชน์ที่ไม่ประกอบไปด้วยธรรมานุธรรมะ


 


ประชาชนทั้งหลายทั้งปวงนั่นแหละ ที่จะต้องช่วยกันวิเคราะห์ และช่วยกันค้นหา ว่าอะไรบ้างที่บังตาและบังใจ "นักการเมือง" ทั้งหลายเอาไว้ จึงไม่ยอม "เห็นธรรม" กับชาวโลกกลุ่มอื่นเสียที


 


รู้ชัดเมื่อไรก็ช่วย "สงเคราะห์" ให้ตาสว่างขึ้นหน่อย เผื่อจะเลิกหน้าด้านทู่ซี้รักษาการตำแหน่ง "นักกินบ้านกินเมือง" เร็วขึ้นอีกนิด


 


ขอแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง...