ทุ่มหมดตัว ซื้อกระเป๋าสตางค์
คอลัมน์/ชุมชน
ช่วงนี้ที่เชียงใหม่มีผู้คนจากต่างจังหวัดมากมาย เนื่องในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของสถาบันราชภัฏ 8 จังหวัดภาคเหนือ บรรดาผู้ปกครองของบัณฑิตต่างเหมารถยกพลมาแสดงความยินดีกับลูกหลานของตัวเอง โดยจัดพิธีขึ้นที่หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ภาพครอบครัวปูเสื่อกินข้าวกันข้างถนน เด็กยืนฉี่ริมฟุตบาท ชาวเขาแต่งตัวเต็มยศ ลุงป้าน้าอาคลี่ผ้าใหม่ที่เก็บไว้มาใส่ถ่ายรูป มีให้เห็นทั่วไปตามท้องถนน ทำให้นึกถึงภาพเด็กคนหนึ่ง ตอนนั้นฉันอายุสักแปดขวบ บ้านอยู่ในตลาด ข้างบ้านเป็นร้านของชำขนาดสี่คูหา เป็นโลตัสน้อย ๆ ของอำเภอบ้านนอกเลยทีเดียว วันหยุดฉันก็จะช่วยย่าขายของหน้าบ้าน มีเด็กคนหนึ่งมาจากบ้านนอก ใส่กางเกงขาสั้นลายสก็อต เสื้อยืดมีรอยพับอย่างดี ยืนด้อม ๆ มอง ๆ ดูพวงกระเป๋าสตางค์ที่ร้านข้างบ้านฉัน ในมือล้วงกระเป๋ากางเกง แววตาครุ่นคิด และมีแวววิบ ๆ ราวเห็นสิ่งของที่ต้องประสงค์วางอยู่ตรงหน้า เพียงแค่ควักกระเป๋าเท่านั้น ฉันนั่งมองเขาเจรจาซื้อกระเป๋าสตางค์ใบเล็กใบนั้น เจ้าของร้านลดราคาให้เขาตามที่เขาต้องการ เขาล้วงเงินออกมาจากประเป๋ากางเกง เป็นเศษสตางค์ที่นับจนหมดกระเป๋า เพื่อแลกกับกระเป๋าใส่เงินใบใหม่
เป็นภาพความทรงจำที่ฉันมักหยิบขึ้นมาคิดถึงเสมอ ถึงความสุขของคน เด็กคนนั้นคงมีความสุขที่ได้กระเป๋าสตางค์...กระเป๋าใหม่ไร้เงิน
เหมือนครอบครัวของบัณฑิตราชภัฏ ที่ทุ่มสุดตัวเพื่อพิธีกรรมทางการศึกษาอันทรงเกียรตินี้ เป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่ที่ตั้งหน้าตั้งตาส่งลูกเรียน ขณะที่สถานะของสถาบันนี้กลับเป็นรองในสังคม ที่เต็มไปด้วยการแข่งขันอย่างเสรี และมหาวิทยาลัยของรัฐ ต่างลุกขึ้นมาทำธุรกิจการศึกษา แข่งกันเต็มรูปแบบ ชนิดอยากเรียนต้องได้เรียน ใคร ๆ ก็เข้าได้ จนนึกไม่ออกว่า วันหนึ่งสถาบันการศึกษาเอกชน หรือราชภัฏ จะสร้างคนขึ้นมาวางไว้ตรงส่วนไหนของสังคม
สังคมที่เต็มไปด้วยคาราวานคนที่ลุกขึ้นมาอุ้มชูผู้นำผู้ร่ำรวยและทรงเกียรติของเขาโดยไม่ลืมหูลืมตา ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเสร็จศึกผู้นำอุ้มลูกไปพักร้อนในต่างประเทศ ชาวนากลับไปทำนา และยากจนเหมือนเดิม ฉันโทษระบบโครงสร้างสังคม คนยากจนนอกจากจนเงินแล้วยังต้องจนใจ เพราะเงินน้อยก็ไม่มีปัญญาส่งลูกเรียนดี ๆ อย่างดีก็มาเรียนราชภัฏ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ห้ามอาจารย์ศิลปะเขียนรูปในห้องทำงาน (บางที่) เพราะหัวหน้าภาควิชาเหม็นสี เป็นมหาวิทยาลัยที่มีนักเรียนในห้องเรียน 200 คน มีอาจารย์หนึ่งคน ซึ่งต่อให้เป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ก็ไม่อาจจ้ำจี้จ้ำไชนักศึกษาสองร้อยคนได้ทั่วถึง ระบบการสอบแบบกา ก ข ค ง ก็ไม่ได้ทำให้คนได้คิด ประมวลผล และถ่ายทอดวิชาที่ร่ำเรียนมาออกมาได้อย่างสัมฤทธิ์ผล จบม.6 มาแทนที่สมองจะได้ใช้งาน กลับหยุดใช้ไปอีก 4 ปี แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับคน ๆ นั้น
ฉันเคยท้อแท้เมื่อพบว่างานเขียนภาษาไทยของนักศึกษาปี 1 บางคน ดีกว่าภาษาไทยที่เลขาสำนักอธิการบดีร่างจดหมายมาให้ฉัน กลายเป็นว่าต้องแก้ภาษาของนักศึกษา และเลขานุการซึ่งเป็นผลผลิตของระบบการศึกษาแบบ mass ระบบที่เหมือนกับการทุ่มเทเงินทั้งกระเป๋า เพื่อซื้อกระเป๋าสตางค์ที่ว่างเปล่ากลับบ้าน.
................................................................................................................................
0 0 0