Skip to main content

บทเพลงแห่งรัตติกาล

คอลัมน์/ชุมชน


ริมฝั่งแม่น้ำยามดึก...เสียงน้ำค่อยๆ ดังแรงขึ้น  แรงขึ้นตามลำดับของเวลาที่เคลื่อนไป  นั่นก็ใช่แล้ว  ยิงดึกดื่นเข้าไปเท่าไหร่  สรรพเสียงสำเนียงต่างก็ดังมากขึ้น  มากขึ้น  ประหนึ่งว่า  เสียงมีม่าน  ในม่านเสียงนั้น  เมื่อเสียงที่ดังมากกว่าซึ่งอยู่ข้างหน้าถูกรูดเก็บไป  ก็เป็นการเปิดให้เสียงที่อยู่ข้างหลังได้ปรากฏชัดเจนขึ้น  และชัดเจนขึ้นในพื้นที่ของเขาเอง 


 


เช่นเดียวกับริมฝั่งแม่น้ำยามนี้...  เสียงน้ำเอื่อยไหลสงบสงัดงัน  ดังขึ้น ผสานกับบางเสียงที่กำลังเซาะ กระแทกตลิ่ง  ตรงกลางแม่น้ำนั้น  กุ้งหอยปูปลา หรือเป็นอะไรบ้างก็ช่างมันเถิด แหวกว่าย กระโดดจ๋อมแจ๋ม ทั้งหมดผสานกับเสียงลมเอื่อยๆ  ริมฝั่งดังหวีดหวิว  ยิ่งนกหนูแมลงกลางคืนที่ร่ำร้องระงม  กังวานใส ผสมเป็นจังหวะสนั่นหวั่นไหว...  ไม่หรอก...เสียงที่โหมกระหน่ำอยู่นั้นก็ช่างเป็นเสียงที่สงบยิ่งนัก  ดังบทเพลงแห่งศานติ กระนั้น..  ทั้งหลายทั้งปวง มันได้นำพาเราไปสู่ภวังค์  บางจังหวะก็เป็นภวังค์แห่งความฝันแสนหวาน  บางภวังค์ก็คล้ายเป็นความคิดครุ่นคำนึง  บางครั้ง ด้วยองค์ประกอบของภาพและเสียงเช่นนี้  ก็ตอกตรึงเราเอาไว้กับความเป็นไปรอบข้าง ...ให้เวลาล่วงผ่าน  ล่วงผ่าน...


 


ผมกำลังเล่าเรื่องอะไรเนี่ย....   ถ้อยคำเหล่านี้ล้วนเป็นถ้อยคำที่บรรดานักเขียนน้อยใหญ่ได้พูดถึงมันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง  ซ้ำร้าย  ในการสนทนาพูดคุยผู้คนมากมายก็ยังพูดถึงบรรยากาศเหล่านี้เสมอ  ใช่แล้ว..ผู้คนมักพบพาน นักอุดมคติ นักกิจกรรมบอกเล่าบรรยากาศแบบนี้ไม่น้อย   แต่..เคยไหมเล่า...นั่งรถไฟสายเก่า บนเส้นทางสายเดิม เริ่มต้นและหยุดลงในเวลาเดิม  หลายครั้งหลายหน  ในวันเวลา ฤดูกาลที่ต่างออกไป  สรรพสิ่งข้างทาง  แม่น้ำสายเดิม ภูเขาลูกเดิม เทือกเดิม เมืองบ้านเดิม  ผืนแผ่นดินเดิม  ทุกอย่างคงอยู่อาจเปลี่ยนแปลงไปช้าบ้างเร็วบ้างตามเหตุปัจจัย  ทั้งหลายทั้งปวงเปลี่ยนไปตลอดเวลา  ว่าโดยเฉพาะก็คือ ต้นหญ้าไม่ใช่ต้นเดิม  ดอกไม้ไม่ใช่ดอกแบบเดิม  ทุกสิ่งที่ยังคงอยู่ได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว  ผู้คนร่วมขบวนก็เปลี่ยน เจ้าหน้าที่บนรถ อาจจะเป็นคนเดิมบ้าง


 


ว่าก็ว่า...เรื่องราวในชีวิตคนเราก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก  ความรู้สึกก็มิใช่เป็นดั่งเดียวกันหรอกหรือ  ความรักก็เกิดขึ้นคล้ายเดิม  แต่ด้วยรูปแบบที่แตกต่างออกไป  นักดนตรีเล่นเพลงเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า    นั่นเป็นอย่างไร  หรือกวีเขียนถ้อยคำซ้ำๆ  เล่าเรื่องเก่าๆ  หลายครั้งไม่รู้กี่ครั้ง  แล้วเป็นอย่างไร  หรือทั้งหมดนั้นมันไพเราะอยู่เพียงครั้งแรกครั้งเดียวเท่านั้นหรือ


 


แล้วผมกำลังเล่าเรื่องอะไรเนี่ย....  ความรู้สึกและความครุ่นคำนึงริมฝั่งแม่น้ำยามดึกนำพาผมไปไหนกัน  หลายหนที่เรามักผลัดวันประกันพรุ่ง  เรามักละเลยที่จะสัมผัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างลึกซึ้ง  จะมีใครไหมหนอ.... ได้ยินเสียงของรัตติกาลนี้อย่างชัดเจนที่สุด เสียงที่ส่งมาถึงหู ล่วงเข้าสู่ประสาทสัมผัสภายใน  แปรเป็นแรงบันดาลใจ  แปรเป็นความรัก หรือแปรเป็นพลังอย่างอื่นในหัวใจเราให้เบ่งบาน เบิกบาน  หลายครั้ง เราไม่ได้สัมผัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างลึกซึ้ง  เราเพียงแต่รับรู้ในความมีอยู่  มันเป็นแต่เพียงสิ่งที่มีอยู่...


 


ริมฝั่งแม่น้ำยามดึก...  เสียงใครคนหนึ่งบรรเลงกีตาร์เบาๆ  ร้องเพลงเบาๆ  ฟังเหมือนมีเสียงร้องมากกว่าสองเสียง  หญิง...ชาย...  ในบรรยากาศสงบสงัดเช่นนี้  เสียงเพลงซึ่งไพเราะ ไพเราะเสียจนเราต้องเอนกายลงหลับตาเบาๆ ให้ร่างกายสัมผัสพื้นอย่างผ่อนคลาย สดับเสียงรัตติกาล  และเสียงเพลงแห่งรัตติกาลนั้น  ไม่หรอก...บางขณะเราก็ไม่ได้ต้องการความหมายมากมายนัก  เพียงแต่ว่า เสียงดนตรีที่ผสานกับเสียงนกหนูแมลงอย่างลงตัว  เสียงร้องที่กลมกลืนไปกับเสียงดนตรี และเสียงนกหนูแมลงอย่างพอเหมาะ  นั่นมันไพเราะที่สุด เพียงแค่เสียง...เพียงแค่เสียงมันก็งดงามที่สุดแล้ว...


 


ผมกำลังเล่าเรื่องอะไรเนี่ย...  ผมกำลังเล่าเรื่องริมฝั่งแม่น้ำยามดึกกับความครุ่นคนึง  และแว่วเสียงบรรเลงเพลงแห่งรัตติกาล  งดงาม...งดงาม