Skip to main content

เปลือกส้ม และนิทานหนึ่งเรื่อง

คอลัมน์/ชุมชน


ส้มเป็นผลไม้ประจำบ้านของผม ที่สามารถหากินได้เกือบจะตลอดเวลา


 


ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า ส้มมักจะเป็นผลไม้ที่อยู่คู่โต๊ะไหว้พระ-ไหว้เจ้าเป็นประจำ และความที่มันเป็นผลไม้ที่ไม่แพงนัก ผมจึงได้กินมันเป็นประจำ (โดยเฉพาะช่วงไหนที่ระบบขับถ่ายเกิดนัดหยุดงานขึ้นมา ส้มสักสองลูกจะช่วยไกล่เกลี่ยระบบขับถ่ายให้ทำงานในเช้าวันรุ่งขึ้นเป็นอย่างดีครับ) บางครั้งก็มากจนต้องเอาไปคั้นน้ำส้มเก็บเอาไว้ในตู้เย็นที่บ้าน


 


อ่านมาได้สองย่อหน้าแล้ว คุณผู้อ่านบางท่านคงกำลังเกาหัวแกรกๆ และคิดในใจว่า "แล้วส้มมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องเพลงฟะ"...ใจเย็นๆ ครับ มันเกี่ยวแน่ๆ


 


เวลาผมกินส้ม ผมก็ทำเหมือนกับที่ทุกคนทำ นั่นคือ...แกะเปลือกส้มก่อน (เอ่อ...แล้วใครหน้าไหนมันกินส้มทั้งเปลือกฟะ - -") และถ้าคุณไม่ได้เอาเปลือกส้มไปทำเปลือกส้มแห้งรสเค็มๆ หวานๆ แบบจีน หรือเอาไปตากแห้ง แล้วเอาไปจุดไฟไล่ยุงละก็...มันก็มักจะไปนอนแอ้งแม้งที่ถังขยะเป็นประจำ


 


แม้ว่าเปลือกส้มจะสามารถบอกว่าส้มลูกนี้หวานได้ที่หรือยัง แต่สาระสำคัญของการกินส้มก็อยู่ที่เนื้อส้มใต้เปลือกนะแหละ


 


ที่ผมพูดถึงส้ม ก็เพราะว่าส้มนี่แหละ ที่ทำให้ผมคิดถึงนิทานเรื่องหนึ่งขึ้นมา แล้วผมก็จะเอานิทานเรื่องนี้มาเล่าให้คุณๆ ฟังกันครับ นิทานเรื่องนี้มีอยู่ว่า...


 


@#@#@#@#@


 


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนักเรียนมัธยมปลายห้า – หกคน ตั้งวงดนตรีขึ้นมาในโรงเรียน เหมือนกับที่เด็กมัธยมอีกหลายพัน หลายหมื่นคนในประเทศนี้ทำอยู่ แต่สิ่งที่ต่างก็คือ...พวกเขาตั้งใจกับมันมาก และก็หวังว่าสักวันหนึ่ง พวกเขาคงมีโอกาสได้ออกอัลบั้มเป็นของตัวเอง


 


โอกาสมาถึงใกล้ขึ้น เมื่อพวกเขาได้ขึ้นประกวดวงดนตรีระดับมัธยมงานใหญ่งานหนึ่ง พวกเขาสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้


 


หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้รับการทาบทามให้ออกอัลบั้มกับค่ายเพลงขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ค่ายหนึ่ง


 


ถ้าถามว่าพวกเขาได้กลายเป็นศิลปินชื่อดังหรือเปล่า...คงพูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะแม้ว่าวงของพวกเขาจะมีเพลงที่แฟนๆ พอจะร้องตามได้ แต่ด้วยวงการดนตรีในยุคนั้นที่มีวงดนตรีใหม่ๆ เกิดขึ้นราวกับดอกเห็ด ทำให้เพลงของพวกเขาถูกกลืนหายไปกับเวลาในเวลาไม่นานนัก...


 


ต่อจากนั้น...เส้นทางชีวิตทั้งสายการเรียน การงาน และสายอะไรต่อมิอะไรก็พาสมาชิกครึ่งหนึ่งของวงดนตรีออกไปจากแวดวงดนตรี เหลือเพียงคนหนุ่มสามคน ที่ยังคงทำดนตรีกันต่อไป โดยยังอยู่กับค่ายขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ค่ายนั้นอยู่เหมือนเดิม


 


พวกเขาและเพื่อนๆ ใช้เวลาพอสมควร กว่างานชิ้นใหม่ ภายใต้วงดนตรีชื่อใหม่ของพวกเขาจะเสร็จสมบูรณ์ เมื่องานเสร็จสิ้น เขานำเพลงเหล่านั้นส่งไปยังคลื่นวิทยุต่างๆ


 


...ครั้งนี้เป็นโชคดีของพวกเขา ที่เพลงของพวกเขา เกิดต้องหูดีเจ. และคนฟังจำนวนมากกว่าการออกอัลบั้มครั้งแรก


 


พวกเขากลายเป็นวงดนตรีวัยรุ่นที่มีแฟนกลุ่มใหญ่...แม้ว่าจะไม่ใหญ่มากขนาดวงดนตรีของค่ายใหญ่ๆ แถวอโศกกับลาดพร้าวก็ตามที แต่ถ้าเทียบกับวงดนตรีในระดับอินดี้-กึ่งอินดี้แล้ว...ต้องนับว่าพวกเขากลายเป็นวงชั้นนำไปแล้ว


 


พวกเขาออกอัลบั้มอีกหนึ่งชุดกับสังกัดขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แห่งนั้น พร้อมๆ กับแฟนๆ ที่ค่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ จนความสำเร็จไปเข้าตาค่ายเทปยักษ์ใหญ่แถวๆ อโศกขึ้นมา


 


ในที่สุด...พวกเขาก็ได้เซ็นสัญญากับค่ายใหญ่ค่ายนั้น พร้อมกับการออกอัลบั้มใหม่ ที่พรั่งพร้อมด้วยการประชาสัมพันธ์แบบเต็มสูบ และการจัดวางภาพลักษณ์อย่างดี แต่ในขณะเดียวกันทางด้านดนตรี พวกเขาก็พัฒนาไปในแนวทางของตัวเองอย่างดี


 


พวกเขากลายเป็นวงดนตรีระดับประเทศ จากเดิมที่เป็นวงที่เคยดังแค่ในกรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ๆ ชื่อเสียงของพวกเขาเริ่มดังไปทั่วประเทศ เริ่มมีมิวสิกวีดิโอออกทางรายการโทรทัศน์อย่างแพร่หลาย ตามมาด้วยการเป็นพระเอกโฆษณามอเตอร์ไซค์ (ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ที่นักร้องดังๆ ของประเทศนี้ต้องไปเป็นพระเอกโฆษณามอเตอร์ไซค์กันเสียหมด) แถมอัลบั้มใหม่ของพวกเขายังขายดิบขายดี อีกทั้งบรรดานักวิจารณ์ยังยกนิ้วให้ (เอ่อ... "นิ้ว" ที่ว่านั้นหมายถึงนิ้วโป้งนะครับ ไม่ได้หมายถึงนิ้วอื่น และไม่ได้หมายถึง "นิ้ว" ที่เป็นคนใกล้ตัวชาวประชาไทด้วยเช่นกัน :-P)


 


แต่ก็เกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้นกับพวกเขา เมื่อพวกเขาไปได้รับรางวัลจากสถานีวิทยุแห่งหนึ่งที่เคยสนับสนุนพวกเขาเมื่อคราวที่พวกเขายังไม่ได้อยู่สังกัดใหญ่


 


เมื่อพวกเขาขึ้นรับรางวัล ผู้ชมงานประกาศรางวัลที่เป็นผู้ฟังรายการวิทยุแห่งนั้นกลับไม่ใคร่จะส่งเสียงแสดงความยินดีให้พวกเขา...แถมผมยังรู้สึกว่าได้ยินเสียงโห่เบาๆ จากกลุ่มผู้ชมด้วย...


 


@#@#@#@#@


 


ผมมองดูเปลือกส้มที่วางอยู่บนจานพลาสติก ก่อนที่ผมจะนำเปลือกส้มไปทิ้งถังขยะ พร้อมๆ กับที่คิดถึงนิทานที่ผมเพิ่งเล่าให้คุณๆ ฟังไปเมื่อสักครู่


 


ผมคิดเล่นๆ ว่าจริงๆ แล้วการมองเปลือกสวยๆ แล้วตัดสินทันทีว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีนั้นเป็นเป็นเรื่องที่ไม่ใคร่จะได้เรื่องสักเท่าไหร่...แต่ถึงกระนั้น การมองเปลือกสวยๆ แล้วคิดไปเองว่าภายในนั้นต้องไม่ใช่สิ่งที่ดี ก็ไม่ได้เรื่องพอๆ กันนั่นแหละ


 


ภาพลักษณ์ของศิลปินก็เช่นกัน ที่เป็นแค่สิ่งที่ทำให้ศิลปินดูน่าเจริญหูเจริญตาขึ้น (แต่ในทางกลับกัน ก็ทำให้ศิลปินดูน่าสยองขวัญได้เช่นกัน J)


 


แต่ยังไงซะ เราก็ไม่ได้ซื้อซีดีเพื่อมาดูปกนี่หว่า...