Skip to main content

ในหัวใจ...มองผ่านม่านฝุ่นแล้วจึงเห็น (2)

คอลัมน์/ชุมชน

และแล้วพิธีกรรมก็เริ่มต้น...


 


ไม่มีอะไรมาก ลูกๆ ทุกคนเข้ามานั่งล้อมวง บอกให้พ่อนั่งตรงกลาง เรียกภรรยาของพ่อให้เข้ามาด้วย


"ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อเลย ขุดหน่อมา เหงื่อเต็มตัว" เธอว่า


"ไม่เป็นไรๆ" ไม้ซางพูด "แบบนี้แหละ คนกันเอง ใช่ใครที่ไหน"


พ่อหัวเราะ


"แม่นแล้ว"


ฉันเห็นด้วย มองดูแต่ละคนก็อยู่ในเสื้อผ้าครือๆ กัน คือไม่ได้แต่งองค์ทรงเครื่องอะไรพิสดาร พี่โอ๊ะสวมเสื้อคอโปโลลายตาราง พ่ออยู่ในเชิ้ตน้ำเงินปนเทา กลัดกระดุมแทบไม่มิด ผมยุ่งเหงื่อแตก ก็แหม หน้าร้อนนินา


 


"เอาละ ทุกคนเอามือแตะของที่ดำหัวพ่อนะ" ไม้ซางดูจัดเจนพิธีกว่าใคร


"เดี๋ยวก่อน! มา ใส่ซองให้พ่อด้วยดีกว่า ตามเจตนานะ"


"กาเกดใส่ไปเลยหมื่นนึง" พี่โอ๊ะว่า


"ใช่แล้ว" พี่แอ๋มต่อทันที "อย่างต่ำหมื่นนะ อย่างสูงสองร้อย"


 


ทุกคนหัวเราะเฮ ฉันขำในมุกของพี่แอ๋ม  ศรีวรรณหยิบใบแดงส่งให้หลานนัท


"เอ้า ใส่ซองให้แม่ด้วย"


ทุกคนใส่เงินลงในซอง ไม่มีใครดูของใคร ก้มหน้าก้มตากระมิดกระเมี้ยนกันมาก ฉันขำจนเกือบหัวเราะ เปิดกระเป๋าใส่เงินลงไปบ้าง เมื่อเรียบร้อยดีแล้ว พ่อก็จะเริ่มให้พร


"เดี๋ยวๆ"  ไม้ซางท้วงอีกแล้ว  "ต้องผูกข้อมือด้วยนะ เตรียมด้ายหรือยัง"


"เตรียมแล้ว"  พ่อว่า ฉันเหลือบเห็นกรวยใบตอง ปักช่อกาหลา


"สวยจังเลย!" อารมณ์คนไม่ค่อยได้กลับบ้านบรรเจิด  "ใครทำเนี้ย โห เก๋จริงๆ ดูสิ ตัดมาแต่ดอกใส่กรวยใบตอง เดี๋ยวต้องถ่ายรูปไว้"


ทุกคนมองหน้าฉันแบบ...อพิโธ่เอ๋ย น่าเวทนา ฉันยิ้มเขินๆ ก็นะ เข้าใจหน่อยสิว่าอยู่กับดอกไม้พลาสติกมานานน่ะพี่!


 


+ + + + + + + +


 


พิธีกรรมเสร็จสิ้นด้วยดี  พ่อให้พรลูกๆ พร้อมกัน ผูกข้อมือทีละคน ฉันก้มหน้าพนมมือ มีพี่ๆ นั่งแวดล้อม รู้สึกอบอุ่นใจจนบอกไม่ถูก


หลานนัทเป็นคนสุดท้าย พ่อแถมด้วยการเป่ากระหม่อม "เพี้ยง!" พี่แอ๋มรีบร้อง


"อ้าว! ลำเอียง"


 


"กินข้าวกันดีกว่า!" พี่โอ๊ะเตือนอีกหน ท่าทางจะหิวจริงๆ ทุกคนหัวเราะ แล้วก็ผละออกจากพ่อ มุ่งหน้าไปตามทางเข้าห้องกินข้าว


ฉันชอบบรรยากาศในวันนั้นมาก ชอบมากจริงๆ ไม้ซางเข้ามาถามว่า


"จะกินบนบ้านหรือข้างล่างดี"


พี่โอ๊ะบอกว่า "กินที่ไหนก็อิ่มเหมือนกัน"


พี่แอ๋มบอกว่า "ใส่ผงชูรสไปแล้วนะ กาเกดกินได้ไหม แต่ได้ไม่ได้ก็ต้องกินล่ะนะ" ฯลฯ  แล้วพวกเราก็คุยกันไปสัพเพเหระ จนกระทั่งตั้งวงเสร็จเรียบร้อย


 


"พ่อล่ะ" เสียงใครสักคนพูดขึ้น


"อ้าว! ลืมพ่อไปเลย...นัท เรียกอุ้ยหนานมากินข้าวเร้ว แม่พุดด้วย"


"ฮา..." ฉันขำแทบปั้นข้าวเหนียวไม่ได้ จนพ่อขึ้นบ้านมาเป็นคนสุดท้าย "หิวจนลืมพ่อเลยนะ" หลานนัทแซวพ่อตัวเอง


 


+ + + + + + + +


 


"กลับแล้วนะ"


ฉันหยิบแว่นกันแดดมาสวม พนมมือไหว้พี่ๆ และพ่อกับภรรยาของพ่อ


"ต้องไปก่อนแล้ว เพราะว่านัดคุยงานไว้ เดี๋ยวไม่ทัน"


"ไปเถอะๆ" พ่อว่า "พ่อดูดวงให้แล้ว – ไป – มี – โชค"


"อะไรนะ?" ฉันอึ้ง


"ไป – มี – โชค" พ่อย้ำคำสามพยางค์ "เป็นดวงของกาเกดปีนี้ อ้อ แล้วก็ อย่า-ทำ-ร้าย-แมว"


 


ฉันอึ้งจนออกอาการเหวอ พ่อนั้นได้ชื่อว่าเป็นหมอดูประจำหมู่บ้านคนหนึ่ง มิน่า ตอนเอาวันเดือนปีเกิดของฉันไปลบๆ บวกๆ อะไรไม่ทราบ ในสมุดเก่าแก่ ถึงได้ขมุบขมิบว่าอะไร "แมวๆ"


"ดวงชนแมว" พ่ออุตส่าห์ขยายความ "อย่าทำร้ายแมว แล้วจะรุ่งเรือง"


ฉันขำจนหัวเราะไม่ออก นึกถึงหน้าโหดเหี้ยมของ "จับอิดนึ้ง" ที่ตอนเล่าให้พี่แอ๋มฟัง เธอก็ทวนคำว่า


"แมวอะไร ชื่อจับอีนึ้ง!"


"อ่า...แล้วไปมีโชคนี่แปลว่าไม่ต้องมาเหรอ" ฉันยังอดสงสัยไม่ได้ แต่ไม่มีใครตอบแล้ว ทุกคนยิ้มแย้มเบิกบาน โบกมือให้ฉันอย่างเข้าใจในวิถีชีวิต


 


+ + + + + + + +


 


ฝนกำลังตั้งเค้า เมื่อฉันออกจากหมู่บ้านมา ผ่านทุ่งข้าวที่กำลังแตกรวงเหลืองอร่าม กลิ่นของท้องทุ่งฟุ้งอยู่ในอากาศ เมฆมีสีขาวปนเทา สวยจับใจ


 


ผ่านทุ่งกว้างใหญ่ ยังเห็นวัวควายและเล็มหญ้า ลำเหมืองน้อยมีน้ำไหลริน ชาวนาเกี่ยวข้าวด้วยรถ แต่สวมหมวกปีกกว้าง มีผ้าขาวม้าคลุมหน้าอย่างคุ้นเคยเจนตา บางคนขี่รถเครื่องผ่านส่งยิ้มอย่างจำกันได้ ฉันยิ้มตอบ รู้สึกถึงความรักที่ยังคงอยู่ในหัวใจล้ำลึก และนานแสนนานถูกกลบฝังด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย


 


วันนี้ ฉันรู้สึกถึงบางสิ่งที่แผ่คลี่ขยาย เหมือนกอกาหลาริมน้ำ ซึ่งครั้งหนึ่ง ฉันนำขึ้นรถไฟกลับมาปลูก พ่อดูแลมันอย่างดี ออกดอกสีแดงเจิดจ้า ประดับบ้านสีน้ำตาลของเราให้สวยในทุกฤดู


 


ฉันเริ่มคิดว่า อันผงฝุ่นและความเก่าโทรมทั้งหมดนั้น ที่ฉันเห็นเมื่อแรกก้าวเท้าเข้าบ้าน ก็แค่ภาพลวงตา  ความหวั่นผวา แปลกหน้า หรือห้วงอารมณ์ก่อนกลับบ้าน ก็เช่นกัน


 


ยังมีสิ่งดีๆ และสวยงามที่นั่น ความรัก ความผูกพัน การตระหนักว่าเราแต่ละคนนั้นโยงใยอยู่ในสายธารเดียวกัน ที่แม้ต่างคนต่างมีวิถีชีวิต เราอาจไม่สนิทกันนัก แต่ในวาระที่มีโอกาสพบกัน เราก็มีสิ่งดีๆ ร่วมกันได้ หรือชีวิตคงเป็นอย่างนี้เอง มีดี มีร้าย มีวันไม่เข้าใจ ขมขื่น เจ็บปวด และวันที่เมฆหมอกสูญสลาย


 


ฉันได้ยินพี่โอ๊ะนัดแนะพี่แอ๋มว่า "ไว้ไปคาราโอเกะที่บ้านนะ จะลาบให้กิน"


ไม้ซางบอกว่า "ต้องรีบกลับเหมือนกัน เพราะต้องเลือก สว.ที่อำเภอด้วย" เขาอุตส่าห์มา เพราะอยากเจอกัน


และยังจำคำที่พี่แอ๋มบอกฉันว่า


"อยากทำอะไรก็ทำเถอะนะ เราโตกันแล้ว พ่อก็สุขภาพแข็งแรงดี ไม่ต้องกังวลมาก พี่ก็เลี้ยงลูกไป นี่พรุ่งนี้ก็จะขับรถไปชัยภูมิ ซื้อมะม่วงเข้าโกดัง"


และตอนที่เธอรีบปัดมือฉันตอนกินข้าว


"เดี๋ยวๆ ผักนั้นมันขมนะ กินได้หรือเปล่า!"


 


ความเป็นห่วง ความรักใคร่ สิ่งที่ไม่อาจแสดงออกเพียงแค่ถ้อยคำ ฉันยังจดจำได้ถึงวินาทีนี้ ใช่...ความรักยังอยู่กับเรา เป็นของเรา


 


และมีที่อยู่เสมอในหัวใจเล็กๆ ของเรา.


 


























ทางออกจากหมู่บ้าน



ฟ้าสวยจริงๆ เมฆเต็มไปหมด แต่แป๊บเดียว ฝนก็ตั้งเค้า



รอบๆ หมู่บ้านคือทุ่งข้าว ฝั่งตะวันออก ข้าวยังเขียวอยู่ ขณะที่ด้านตะวันออก ใกล้เริ่มเก็บเกี่ยวกันแล้ว



ชาวนารุ่นใหม่



เห็นเพิงนี้แล้วคิดถึงสมัยทำงานตอนเด็กๆ เวลาแดดร้อนจัดๆ มันเป็นที่พักอันแสนวิเศษจริงๆ



อุตส่าห์มีป้ายหาเสียง



ป้ายเข้าวัดดอยแม่ปั๋ง ฉันเคยไปครั้งสุดท้าย ตอนหลวงปู่แหวนมรณภาพ



ฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว



ฝนลงหนักมากขึ้น



ฟ้าครึ้ม แต่ดูสวยแปลกตา



ถนนในสายฝน



แต่พอเข้าเขตเมือง กลับไม่มีฝน จริงอย่างที่ว่า ฝนตกไม่ทั่วฟ้า, หางนกยูงกำลังบาน



แดงจนบาดใจ



ลมแล้งก็เรียงรายตลอดทาง