Skip to main content

จริง - ลวง... แค่เล่นลิ้น?

คอลัมน์/ชุมชน

เรื่องราวข่าวสารทางการบ้านการเมืองยังไม่สงบ การกระทบกระทั่งยังไม่เลิกรา และดูท่าจะไม่ยุติโดยง่าย เพราะไฟแห่งความวุ่นวายสับสน ความไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ไม่รู้ไหนจริงไหนเท็จ ยังถูกกระพือโหม และสุมเชื้อเติมไฟเป็นระยะ อย่างสม่ำเสมอ และจากทุกฝ่าย ทั้งโดยตรง – โดยอ้อม


 


อำนาจอธิปไตยทุกด้าน ทั้งนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ตลอดจนกฎหมายสูงสุดที่ใช้ในการปกครองประเทศเช่นรัฐธรรมนูญ ถูกกล่าวถึง วิพากษ์ - วิจารณ์ และตีความ (ทั้งจากผู้รู้และผู้รู้บ้างไม่รู้บ้าง หรือกระทั่งไม่รู้เลย) ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยแทบปราศจากบรรทัดฐานใดๆ ให้คนทั่วไปได้สอบทาน ยิ่งนับวันก็ยิ่งไร้วิธีที่เหมาะสมในการเข้าถึงความจริง นอกจากรอฟังหรือรับฟัง วาจาและวิวาทะ ไปวันๆ


 


สภาผู้แทนราษฎรถูกผู้นำฝ่ายบริหารประกาศยุบ จนเป็นที่มาของข้อกล่าวหา ว่า...ใช้อำนาจโดยมิชอบ เพราะสภาฯ มิได้ขัดแย้งใดๆ กับรัฐบาลจนมิอาจบริหารงานต่อไปได้ เมื่อจะมีการเลือกตั้งทั่วไป ฝ่ายค้านในสภาฯ เดิมจึงปฏิเสธไม่ส่งผู้สมัคร ด้วยเหตุผลทำนองว่า ไม่ประสงค์จะร่วมกระบวนการฟอกตัวให้ผู้นำที่ไร้จริยธรรมกับพวกพ้อง ทั้งยังมีอีกหลายเรื่องราวสืบต่อมาให้ผู้ดูผู้ชมได้ลุ้นระทึก จนแทบมิอาจกะพริบตา ว่าในที่สุดแล้ว การเลือกตั้งทั่วไปในปี ๒๕๔๙ จะนำสังคมไทยไปสู่สิ่งใดกันแน่


 


ไล่เลี่ยกับที่มาที่ไปของสภาล่างที่กำลังวุ่นวายหนัก สภาสูงหรือวุฒิสภา ก็มีการเลือกตั้งใหม่ทั้งชุดตามวาระ เมื่อ ๑๙ เมษายน ๒๕๔๙ ซึ่งในที่สุดก็ไม่มีอะไรผิดไปจากที่ทุกฝ่ายคาดหมาย กล่าวคือ เชื่อกันไว้แต่เบื้องต้น ว่าจะต้องมีบุคคลประเภทวงศาคณาญาติและพวกพ้องของนักการเมืองจำนวนมากได้รับเลือกตั้ง ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น แต่ยังดี ที่แทรกไว้ด้วยผู้มีคุณสมบัติและคุณวุฒิวัยวุฒิเหมาะสมอย่างแท้จริงหยิบมือหนึ่ง ซึ่งฝ่าด่านเข้ามาได้อย่างกะปริบกะปรอย เรียกว่าน้อยจนไม่อาจคาดเดาได้ ว่าเอาเข้าจริง จะสามารถใช้กลไกทางสภาสูงทำอะไร "ที่ถูกที่ควร" ตามที่เคยตั้งใจไว้ นอกไปเสียจากต้องอดทนร่วมความเป็น ‘สภาผัวเมีย’ หรือ ‘สภาหนังตะลุง’ ที่รอเวลาการเชิดชักจาก "นายหนัง" ในเงามืดไปวันๆ


 


ในส่วนของฝ่ายบริหาร วันเวลาที่ ‘นายกฯรักษาการ’ ได้มอบหมายงานในหน้าที่ของตนให้แก่ "ผู้รักษาการนายกฯ รักษาการ" ดูจะยาวนานจนน่าใจหาย และไม่มีทีท่าว่าจะยุติ เพียงเพราะ ‘บางคน’ จะได้ดูดีหรือ "ดูเหมือนเว้นวรรค" ได้อย่างสมจริงสมจังเท่านั้น ก็ทำให้ผู้เกี่ยวข้องอยู่ใน "รัฐบาลปาหี่-รัฐมนตรีตลกบริโภค" ทั้งหลาย ไม่ได้รู้สึกรู้สาว่าบ้านเมืองจะมีปัญหา - จะเกิดปัญหา ตามมาสักเพียงใด


 


ขณะเดียวกัน ฝ่ายตุลาการเอง แม้โดยรวมจะดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมตามครรลองอันเหมาะควร แต่ศาลบางศาลก็ยังถูกติฉินอยู่นั่นเอง ว่าตกเป็นเครื่องมือของ "นักกินเมือง" บางคนบางกลุ่ม มิหนำซ้ำ เมื่อใกล้วาระแห่งการพิจารณาประเด็นสำคัญอันจะส่งผลทางการเมืองครั้งใหญ่ ก็ยังต้องเป็นประเด็นให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ต้องมีพระราชดำรัสเป็นพระบรมราโชวาทต่อสาธารณะ จึงจะ "ขยับคิด-ขยับทำ" ในสิ่งที่เดิมทีก็มีอำนาจพอที่จะปฏิบัติได้อยู่แล้ว


 


ความสับสนอลหม่านอันปนเจือด้วยท่วงทำนอง "ถือประโยชน์ตนเป็นใหญ่กว่าส่วนรวม" หรือ "ธุระไม่ใช่" หรือ "เอาใจกิเลสตัณหา-เงินตรา-อำนาจ ฯลฯ" โดยไม่นำพาปรารมภ์ต่อความจริง หรือความถูกต้อง อย่างที่เหมาะที่ควร กับสถานะหรือ บทบาท-ตำแหน่ง-หน้าที่ ที่อาจเรียกได้ว่า  เป็นความสำเหนียกหรือตระหนักรู้ด้วยมโนธรรมสำนึกระดับพื้นฐานของวิญญูชน เช่นนี้เองมิใช่หรือ ที่เป็นทั้งเหตุและผล ในวัฏฏะแห่งความวุ่นวายวิกฤติอันไม่รู้จบรู้สิ้น


 


องคาพยพของกลุ่มคนหรือสังคม อันประกอบหรือถักทอขึ้นจากทุกฝ่ายทุกสิ่ง หากไร้ซึ่ง ‘ความจริง’ ของความดีงาม หรือความถูกต้องเหมาะควร ซึ่งถือเป็นเครื่องยึดโยง "ที่ดี" เสียแล้ว ถ้าไม่เป็นไปเพื่อสมคบกันประกอบอกุศลกรรม ก็มักเป็นความจำใจและจำยอม ที่จะต้องอยู่ร่วมกันอย่างเสียไม่ได้ เพราะไม่มีที่ไปที่ดีกว่า หรือยังหาโอกาสสร้างความเลวเป็นส่วนตัวไม่ได้...เท่านั้นเอง


 


น่าสนใจว่าบรรยากาศหรือสภาพการณ์เช่นนี้จะมีอยู่ และต่อเนื่องไปอีกนานเท่าไหร่ ด้วยเหตุใด และ/หรือ โดยปัจจัยใดกันแน่ เพราะหากปรากฏในที่สุด ว่านี่เป็นธรรมชาติด้านหนึ่งของคนไทยและสังคมไทยแล้ว สิ่งที่เคยคาดหวังถึงความดีงาม ตาม อุดมการณ์-อุดมคติ ที่ว่าๆ กันมา ทั้งทางโลกและทางธรรม ก็ดูจะไม่จำเป็นต้องพูดถึง หรือไม่จำเป็นต้องพึงหวังอีกต่อไปแล้ว


 


เอาเข้าจริง จะสรุปว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นเป็นผลจากใคร หรือระบอบใดเสียถ่ายเดียวก็คงพูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำนัก เรียกว่าเป็นผลพลอยได้ของความกึ่งดิบกึ่งดีในสังคมไทย และมีนายกทักษิณกับคณะเป็นตัวกระตุ้นดูจะเป็นธรรมและสมเหตุสมผลยิ่งกว่า เพราะจะว่าไปแล้ว เมล็ดพันธุ์ที่พ.ต.ท.ทักษิณหรือระบอบทักษิณเพาะหว่านเอาไว้ จะมากจะน้อยก็งอกและงามขึ้นบนเนื้อดินแห่งความเหลวแหลกเละเทะของคนไทยทั้งหลาย หรือของสังคมไทยนั่นเอง ยิ่งเมื่อราดรดและฉีดพ่นด้วยความไร้ศาสนา การบูชากิเลส และความฝักใฝ่แต่ใน อวิชชา-มิจฉาทิฏฐิ เข้าด้วยแล้ว เอาเข้าจริง การจะยกบาปทุกอย่างให้คุณทักษิณเพียงคนเดียวก็ดูจะมากเกินไปหน่อย


 


หากไร้สัจจะ ไร้คุณธรรม - จริยธรรม มีแต่ความฉลาดเล่ห์ โดยปราศจากสำนึกที่ดีงามตามธรรมชาติเดิมแท้เสียแล้ว ต่อให้ตีฝีปากเก่งและกล้าหาญสักเพียงใดก็ตะแบงไปได้ไม่ไกลดอก...


 


ไม่ว่าจะรัก หรือชัง จะเรียกร้องหรือขับไล่ "นายกทักษิณฯ-ระบอบทักษิณ" หรือไม่ก็ตาม...