Skip to main content

สวย ใส (ไม่) ไร้สติ

คอลัมน์/ชุมชน


อดที่จะแปลกใจไม่ได้ ที่อยู่ ๆ เรื่อง การดัดฟัน มากลายเป็นเรื่องของแฟชั่นไปได้ ทั้งที่คล้อยหลังไปไม่เกิน 10 ปีมานี้เอง ที่การมีเหล็กดัดฟันติดอยู่เคยเป็นเรื่องที่ทำให้คนไม่ค่อยจะมั่นใจ แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าก็คือเรื่องของเหล็กดัดฟันกลับกลายเป็นข่าวคราว หรือเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้ เพราะได้กลายมาเป็นปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงอยู่ไม่น้อย


เดิมทีเดียวนั้น หากใครที่มีปัญหาฟันเก ฟันเหยิน หรือมีความผิดปกติในเรื่องของฟันนั้น ผู้ที่มีหน้าที่และเชี่ยวชาญที่สามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้ จะต้องเป็นทันตแพทย์เท่านั้น เพราะจะต้องดูแล และระมัดระวังทั้งเรื่องความปลอดภัยและเรื่องของอนามัยในช่องปาก การที่จะเอาอะไรไปให้คนอมไว้ในปากนั้นย่อมเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากมีพิษมีภัยขึ้นมาก็อาจถึงตายได้ เหล็กที่นำมาใช้ในการดัดฟันต้องมั่นใจได้ว่าปลอดภัย ไม่เป็นอันตราย รวมทั้งการสวมเหล็กนั้นต้องมั่นใจว่าเข้ากับลักษณะของปากและฟัน และจะไม่ส่งผลกระทบต่อรูปทรงที่จะออกมาในอนาคต


ราคาของการดัดฟันในอดีตนั้นก็อยู่ในราคาที่ค่อนข้างแพง สีสันของเหล็กหรือลวดนั้นก็มีเพียงสีเดียวเป็นสีเงินๆ คนที่ใส่ก็มักจะถูกแซวว่า ฟันเหล็ก อันเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนที่จำเป็นต้องดัดฟันไม่ค่อยมั่นใจ


และแล้วอาจเป็นไปได้ว่า ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดที่จะดึงดูดใจให้วัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยเหมาะที่จะดัดฟันสนใจที่จะดัดฟัน แต่เนื่องจากเดิมนั้นสีสันของเหล็กดัดฟันไม่ดึงดูดใจนัก จึงมีการพัฒนาเรื่องของลวดดัดฟันให้มีสีสันมากขึ้น การดัดฟันจึงไม่ได้มีเฉพาะเหล็กสีเงิน ๆ อีกต่อไป และปรากฏว่าผลที่ออกมานั้นดีเกินคาด ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านี่อาจจะเป็นการพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสของบรรดาคน " ฟันเหล็ก " หรืออย่างไร หรือในกลุ่มวัยรุ่นนั้นไปสื่อสารกันอย่างไรจนทำให้การดัดฟันกลายเป็นเรื่องแฟชั่นจนทำให้ในที่สุด


แม้บางคนไม่มีปัญหาก็ยังอยากจะใส่เหล็กดัดฟัน แต่คิดว่าในระยะแรก ๆ นั้นก็ยังอยู่ภายใต้การดูแลของทันตแพทย์ซึ่งจะทำให้เฉพาะผู้มีปัญหาเรื่องฟัน ปัญหาสุขภาพจึงยังไม่เกิด จนกระทั่งมีการสร้างกระแสให้เป็นที่นิยมแล้วก็เกิดการผลิตเหล็กดัดฟันมากขึ้นจนกระทั่งหาซื้อได้ทั่วไป และสามารถใส่ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งในระยะหลังไม่สามารถเรียกได้ว่าเหล็กดัดฟัน เพราะว่าไม่ได้มาตรฐานและไม่ได้ทำหน้าที่ดัดฟัน อาจเรียกได้แค่ว่าลวดใส่ฟันหลากสี พร้อมลูกปัดสีต่าง ๆ เอามาใส่ครอบฟันเอาไว้ ทำให้คนที่ใส่ไว้แม้จะรู้สึกรำคาญแต่ก็เชื่อว่าเป็น " ความเท่ห์ " ชนิดหนึ่ง ที่สำคัญสนนราคานั้นมีตั้งแต่ 50-120 บาท เรียกได้ว่าถูกมาก หรือเป็นภาษาวัยรุ่นพูดว่า ถูกมั่กๆ


ถึงตอนนี้วัยรุ่นก็เปลี่ยนลวดใส่ฟันกันเป็นว่าเล่น ซึ่งไม่ต่างอะไรไปจากการเปลี่ยนหน้ากากโทรศัพท์มือถือ หรือเปลี่ยนทรงผมให้อินเทรนด์ หรือแม้แต่เช่ากระเป๋าหลุยส์ วิตตอง เพื่อให้ดูเหมือนคนอื่น (ใช้วิธีเช่าเพราะจะได้เปลี่ยนได้บ่อย) แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น เป็นการกระทำอันเนื่องมาจากตาม ๆ กันไปโดยมิได้รู้ หรือมีสติยั้งคิดก่อนเลยว่า การติดเหล็กอยู่ที่ฟันนั้นจะเหมาะสมกับตัวเองหรือ มีความจำเป็นหรือ และที่ร้ายกว่านั้นคือ เป็นการนำอันตรายมาใส่ตัว ซึ่งตอนนี้ก็มีข่าวออกมามากมายเกี่ยวกับกรณีอันตรายอันเกิดมาจากลวดดัดฟันที่ซื้อหาได้เองตามท้องตลาดทั่วไป เริ่มตั้งแต่ ปากเหม็น ปากเน่า บาดทะยักในปาก หากเกิดสนิมแล้วบาดปากเข้า ลูกปัดตกลงไปในคออาจตายได้ รวมทั้งอาจเป็นมะเร็งได้



นี่เป็นตัวอย่างว่า ลวดดัดฟันส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพอย่างไร ทว่า ปัญหาเรื่องลวดดัดฟันที่เป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นนั้น ก็ไม่ใช่ว่าเป็นอะไรที่เกิดขึ้นโดยวัยรุ่นเองลำพัง แต่เป็นเพียงอีกตัวอย่างหนึ่งของค่านิยมของวัยรุ่นในยุค ๆ หนึ่ง แต่วัยรุ่นในยุคนี้อาจมีอะไรมากขึ้นกว่ายุคก่อน ๆ เนื่องจากยุคนี้เป็นยุคของโลกการค้าเสรี การตลาดจึงนำหน้าทุกสิ่งทุกอย่าง การตลาดจึงกระทำการโน้มน้าวให้คนเชื่อและชอบในสิ่งนั้นและสิ่งนี้เพื่อวัตถุประสงค์เดียวคือการขายสินค้า


และเป็นที่รู้กันดีว่า วัยรุ่นนั้นอยู่ในวัยแห่งการต้องการการยอมรับ ซึ่งมีการแสดงออกในหลายรูปแบบ เพื่อให้คนอื่นเห็นว่าตนเองนั้น หนึ่ง มีพวก มีกลุ่ม บางครั้งอาจตั้งชื่อก๊วน และมีสัญลักษณ์สิ่งใดสิ่งหนึ่งมาแสดงออก และ สอง ไม่ตกยุค หรือ เข้าสมัยนิยม หรือ ตามกระแส หรือที่ปัจจุบัน ยืมคำภาษาอังกฤษมาพูดว่า อินเทรนด์ ( ถ้าไม่พูดเป็นภาษาอังกฤษว่าอินเทรนด์ ก็ไม่เข้าสมัยอีกเช่นกัน)


ความเข้าใจในความต้องการอย่างน้อยสองข้อของวัยรุ่นดังกล่าว ทำให้นักการตลาดก็ฉวยโอกาสเหล่านี้ สร้างกระแสให้เกิดการนิยมในสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้น เพื่อการขายสินค้าและทำกำไรให้มากที่สุด โดยอาจจะไม่จำเป็นต้องสนใจผลกระทบที่ตามมาก็ได้ เพราะหน้าที่ของนักการตลาดต้องทำตลาด และขยายตลาดไปเรื่อย ๆ ตลาดยิ่งกว้าง ยอดจำหน่ายยิ่งเยอะ จึงจะเป็นการประสบความสำเร็จในเชิงการตลาด


ดังนั้น ในยุคทุนนิยม และการค้าเสรีนี้ ความรสนิยม หรือไร้รสนิยม สวยไม่สวย เท่ห์ ไม่เท่ห์ หรือ ทันสมัยหรือไม่ทันสมัยจึงถูกกำหนดโดยการตลาด เช่น ผู้หญิงสวยต้องหน้าขาว เพราะความขาวคืออำนาจ (ดึงดูดใจชาย) จึงควรต้องใช้ไวเทนนิ่ง ต้องผอมถึงผอมมาก ดังนั้นจึงจะต้องใช้ครีมขจัดมัน หรือดูดไขมัน ต้องผมเหยียดตรงมาก ๆ จึงต้องไปยืดผมด้วยน้ำยายืดชนิดพิเศษที่พร้อมสำหรับคุณ และอื่น ๆอีกมากมายที่การตลาดได้เข้ามากำหนดแล้วคนก็หลงเดินตามที่โฆษณาบอกไว้โดยไม่รู้ตัว


ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรผู้บริโภคโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นถึงจะเท่าทันข้อมูล สามารถแยกแยะได้ว่า สิ่งนี้ดี สิ่งนี้เป็นอันตราย สิ่งนี้เหมาะสม และนั่นไม่เหมาะสม นั่นจำเป็น นี่ไม่จำเป็นกับตัวเรา และ ที่สำคัญกว่านั้นคือ ทำอย่างไรให้ภูมิใจในความเป็นตัวของตัวเอง การแสวงหาอัตลักษณ์ของตัวเองเป็นสิ่งที่ไม่เคยถูกพูดถึง เพราะทุกคนต้องทำตัวตามกระแส เช่น ช่วงนี้เขาบอกว่าสีม่วงกำลังมาแรง ทุกคนเลยเดินม่วงกันไปหมด ทำอย่างไรถึงจะคิดได้ว่าคนเรานั้นงามเพราะความแตกต่าง เราจึงมีสีผิว และรูปร่างที่แตกต่างกันออกไป ทำอย่างไรถึงจะทำให้เรียนรู้ได้ว่า การเป็นตัวของตัวเองนั้นไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติ



คำตอบของปัญหานี้เป็นการบ้านของ 2 ส่วนสำคัญคือ ระบบการศึกษาที่เอื้อให้คนได้รู้จักคิด วิเคราะห์เป็น และใช้วิจารณญาณเป็น กระทรวงศึกษาธิการคิดเรื่องของการปฏิรูประบบการศึกษานั้นคงจะไม่เพียงแค่ดูแลเรื่องเนื้อหาทางวิชาการ ที่สอนให้ได้กระดาษไปประดับฝาบ้านเท่านั้น แต่ควรต้องคำนึงถึงเรื่องการสอนให้คนรู้จักคิดและวิเคราะห์เป็น เพื่อจะได้สรรสิ่งที่ดีให้กับชีวิตได้เอง ไม่ใช่ให้โฆษณามาบอกว่านี่คือสิ่งที่ดีของชีวิตเรา


 และส่วนหนึ่งก็ควรจะเป็นความรับผิดชอบของสื่อมวลชนที่ต้องนำเสนอสาระประโยชน์ให้กับสังคม ที่จะต้องทำหน้าที่เป็นตะเกียงที่ส่องนำไปในทางที่ถูก แต่กรณีหลังนี้ท่าทางจะยาก เพราะมาในระยะหลังนี้อันเนื่องจากระบบการศึกษาที่ไม่ได้สอนให้คนคิดเป็น สื่อมวลชนเองก็มีไม่มากนักที่คิดเป็นและวิเคราะห์เป็น สังเกตจากการทำข่าวปัจจุบันที่เต็มไปด้วยการแข่งขันในเรื่องของเวลา สื่อมวลชนหลาย ๆ คนทำแค่ฟัง ๆ สิ่งที่ใครต้องการจะแถลงมา แล้วก็เร่ง ๆ ส่งมาพิมพ์หรือมาออกอากาศ แล้วรายการคุยข่าวที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันก็ เพียงเอาหนังสือพิมพ์มาพูดซ้ำทางโทรทัศน์ ภาษาชาวบ้านเรียกว่า เมาท์ไปเรื่อย ๆ สลับกับการขายสินค้า รวมทั้งหลอกให้เสียเงินโทรศัพท์ไปโหวต เพื่อทำรายได้ให้กับรายการและเจ้าของสัมปทานโทรศัพท์อีกต่างหาก ดังนั้นการหวังพึ่งสื่อก็ดูจะไม่ช่วยให้ฉลาดขึ้นเท่าไรนัก


กล่าวโดยสรุป เรื่องให้การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด จะโดยใครก็แล้วแต่ซึ่งมีฐานะที่จะเข้าถึงมวลชนขนาดใหญ่ได้ก็พึงจะต้องทำ เพื่อให้เด็กไทย และคนไทย ได้มีสติปัญญา รู้จักคิด มีวิจารณญาณในการเลือกใช้สินค้าที่ดี ที่มีคุณภาพ และราคาสมเหตุสมผล รวมไปถึงการเลือกทางเดินให้ชีวิตอย่างเหมาะสม และถ้าจะสวย ถ้าคิดเป็นแล้วก็จะได้เป็น คนที่ " สวย ใส ได้ แต่ไม่ไร้สติ "