Skip to main content

ข้าวหมาเอื้ออาทร

คอลัมน์/ชุมชน

ชัยเนตร   ชนกคุณ


                                                                                   


ตลอดระยะเวลาเกือบ 22 ปี ที่ป้าทองพรอุทิศให้กับหมาจรจัด  เป็นช่วงเวลาอันมีค่าและยังความสุขให้ป้าดำเนินอยู่ท่ามกลางกระแสสังคมโลก ที่บีบแคบใบนี้อย่างมีความสุข


 


เวลา 11 นาฬิกาของทุกวัน ณ ลานกิจกรรมหน้าตึก อ.มช. จะเป็นช่วงเวลาที่ป้าทองพรรีบนำอาหารและสัมภาระต่างๆมาปฏิบัติกิจกรรมบุญนิยมเสมือนเป็นกิจวัตรประจำวันของป้าอย่างหนึ่ง  นั่นจึงเป็นช่วงเวลาที่พวกเราจะเข้าไปพูดคุยกับป้า  และซักถามถึงที่มาของกิจกรรมมหากุศลที่ทำให้แกดูมีความสุขยิ่งกว่าบุญใดๆ


 


 "ซื้อต่อจากโรงอาหารข้างในมาอีกที  เขาใจดีไม่ขายแพงหรอก  พวกกระดูกนี่ก็ประมาณ 20 บาท  ข้าวหุงนี่ก็ทำเอง ตกวันหนึ่งก็ใช้ขนาดเต็มหม้อเบอร์ 30 นั่นล่ะ" ป้าทองพร กำลังให้ข้อมูลกับพวกเราขณะที่กำลังคลุกกระดูกต่างๆที่ซื้อต่อจากโรงอาหารภายใน อ.มช.  อันประกอบไปด้วย กระดูกหมู คอไก่  แข้งไก่ และโครงไก่ เคล้ากับข้าวสวยอุ่นๆ แล้วเททยอยไปตามจานข้าวที่วางเรียงรายอยู่ประมาณ 10 ใบ เพียงพอกับจำนวนหมา อ.มช.ทั้งหมด


 


"พวกมันชอบกินเครื่องในไก่  แต่นานๆถึงจะมีปัญญาซื้อให้กินสักทีหนึ่ง  มันแพง  นี่ป้าก็เหน็บเอาอาหารสำเร็จรูปมาด้วย  เผื่อมันเบื่อข้าวคลุก"  ป้าตอบอย่างอารมณ์ดีขณะแกะอาหารเม็ดแยกจานวางไว้ต่างหากนอกจากนี้หลังอาหาร พวกหมาๆ ทั้งหลายก็จะมีจานใส่น้ำให้กินพร้อมสรรพเลยทีเดียว


 


ป้าทองพร อายุ 50 ปี  ในวัยขณะนี้บางคนอาจแสดงความชราออกมาให้เห็น  ความเบื่อหน่ายของช่วงขวบปีแห่งชีวิตที่ได้ผ่านพ้นไป  หรือคิดถึงโอกาสของการใช้ชีวิตที่เรียกว่าช่วงสุดท้ายของตนเองอย่างรอบคอบ   บางคนทุ่มเทเพื่องานเป็นเฮือกสุดท้ายก่อนที่จะต้อนรับฤดูกาลพักผ่อนตลอดกาล  หรือใช้เวลาท่องเที่ยวไปในทุกที่ที่อยากไป  แต่สำหรับป้าทองพร  ในวัย 50 เช่นนี้  กลับดูมีชีวิตชีวา ท่าทางที่เคลื่อนย้ายร่างกายกระฉับกระเฉง ไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อหน่ายต่อชีวิตได้ง่ายนัก  และยังดูเป็นสาว  ผมที่รวบไว้ด้านหลังช่วยขับบุคลิกของผู้หญิงวัยกลางคนออกมาได้ชัดเจน  รอยยิ้มที่มาพร้อมกับสายตาที่อ่อนโยนดูจะเป็นยาอายุวัฒนะสำหรับแกเลยทีเดียว  ตำแหน่งงานของป้าทองพรตอนนี้คือ  เจ้าหน้าที่ธุรการ  กองกิจกรรมนักศึกษา  หรือตึกหน้าอย่างที่พวกเราเรียกกัน


 


ด้วยความผูกพันที่มีต่อหมามาเป็นเวลานาน  ไม่ว่าป้าทองพรจะไปอยู่ ณ ที่ใด  นักพเนจรเหล่านี้ก็ต้องหาพบตัวป้าจนได้เสมอ  ป้าเล่าให้เราฟังว่า  เมื่อประมาณ  ปี พ.ศ.2525  ป้าทองพรมีตำแหน่งงานเป็นแม่บ้านหอพัก นักศึกษาหญิง อาคาร 4 แต่ด้วยความเป็นคนที่รักและเมตตาสัตว์เป็นทุนเดิม  เวลาที่เดินทางไปพบเห็นหมาหรือแมวที่บาดเจ็บก็จะนำกลับมาปฐมพยาบาลใต้หอและคอยป้อนข้าวป้อนน้ำให้กับพวกมันเสมอ  จนช่วงนั้น หอ 4 หญิงมีหมาและแมวมาอาศัยร่วมยี่สิบตัว บางตัวที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็มาร่วมอาศัยอยู่ด้วยกันที่นี่


 


นับวันจำนวนสัตว์เลี้ยงก็เพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้น  จนเวลานั้นทุกคนในมหาวิทยาลัยต่างก็คิดว่าป้าเป็นเจ้าของพวกมัน  นอกจากนี้ป้ายังเล่าด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจต่อผู้คนที่ไม่เคยไยดีต่อหมาจรจัดพวกนี้ว่า  เวลาที่ไปเจอหมาบาดเจ็บที่ไหน  หมาเกะกะที่ไหนก็จะพามาหาป้าที่หอ  หมากัดกันที่ไหน  เกินปัญญาพวกยามรักษาการณ์ก็ต้องเรียกป้าไปเป็นคนจัดการ  แม้ว่าจะไม่ใช่หมาที่แกเคยให้ข้าวให้น้ำ  ป้าทองพรก็ยินดีที่จะรับจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้คนที่โดนกัดทุกครั้งเช่นกัน


 


นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ป้าทองพรต้องถูกย้ายไปทำงานที่ตึกหน้าแทน  แต่ยังไม่วายที่จะพาหมาและแมวจรจัดเหล่านั้นกลับไปเลี้ยงด้วยที่บ้าน ป้าบอกว่า "สงสารมัน ปล่อยเอาไว้พวกมันก็อดตาย  นอกจากป้าแล้วก็ไม่เคยเห็นใครใส่ใจพวกมันเลย"


 


ว่ากันว่า สัตว์จะสามารถรู้ได้ว่าคนไหนที่มีจิตใจเป็นอย่างไร  จากสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่แฝงอยู่ในตัว  เช่นนกป่า  หากมนุษย์จ้องมองมันด้วยสายตาที่ชื่นชม  ทะนุถนอมในความบอบบางของมัน  แม้จะเพียงระยะเอื้อมมือ  เจ้าก็จะเกาะให้ยลโฉมได้โดยไม่ไหวติง  แต่หากเมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ถือปืนผาหน้าไม้หมายจับจ้องประหัตประหาร  เจ้านกน้อยก็จะบินจากไปในทันที  แม้จะเป็นระยะห่างยาวโยชน์ปานใดก็ตาม  หมาจรจัดเหล่านี้ก็เช่นเดียวกัน  มันรู้เสมอว่าใครที่ตนสามารถเข้าใกล้ได้เพื่อขอความช่วยเหลือ  และรู้เสมอว่าป้าอยู่ที่ไหน


 "นอกจากหมา อ.มช.แล้วที่กองกิจฯ ก็มีอีก 3 ตัว  โรงจอดรถอีก 3 ที่ เสาไฟของ มช.อีก 2  ตัว รวมทั้งหมดก็ประมาณ 18 ตัว ในบ้านอีก 6 ตัว แมวอีกเกือบ 10 ตัว"  นั่นคือตัวเลขของหมาและแมวจรจัดทั้งหมดที่ป้าทองพรรับเป็นภาระในขณะนี้  นอกจากนี้กิจวัตรของป้าในเวลาเสาร์อาทิตย์ก็คือการขับรถไปตามถนนเส้นหน้า – หลัง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อแจกข้าวแก่หมาจรจัดข้างทางเสมอ


 


ในแต่ละปีหมา อ.มช.ไม่เคยมีสถิติลดลง จากบันทึกของป้าจะเห็นว่าแม้รุ่นเก่าจะล้มหายตายจากไป แทนที่จำนวนจะต้องลดลง  กลับมีรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา


 


ในสังคมที่เราทุกคนกำลังเหยียบย่ำอยู่ในขณะนี้  มีทั้งเรื่องที่สุขสบายและทุกข์ยากปะปนกันไป  แต่เคยมีใครสนใจในเรื่องความทุกข์สุขของผู้อื่นและผู้ที่ต่ำต้อยกว่าตนบ้างหรือไม่  ทุกคนต่างคิดที่ปีนป่ายปราการของความทะเยอทะยานด้วยกันแทบทั้งสิ้น  สามารถที่เหยียบได้แม้กระทั่งหัวคนด้วยกันเองในทุกครั้งที่ความจำเป็นบังหน้า  สิ่งมีชีวิตชนิดอื่นที่ใช้โลกใบนี้ยันกายยังมีอยู่อีกหลายชนิด  หมาจรจัดเหล่านี้คือหนึ่งในบรรดาสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น  ผู้ไม่สามารถเลือกเกิดได้  เป็นเพียงผลผลิตของความเจริญที่ถูกทอดทิ้ง  ไม่สามารถหาอาหารได้เองเพราะถูกเบ้าหลอมความสำเร็จรูปแบบเมืองใหญ่สร้างเอาไว้  และกลายเป็นภาระของสังคมอีกต่างหาก


 


ป้าทองพร ยืนยันถึงสาเหตุของการเพิ่มจำนวนของหมาเนื่องเพราะมีคนพามาปล่อยทิ้งไว้อยู่ตลอดเวลา "บางคนเขาเห็นเราเอาข้าวมาให้ทุกวัน  ก็เลยถือโอกาสพาหมาจากบ้านมาปล่อยเสียที่นี่  บางคนก็เอาไปทิ้งไว้เสียที่บ้านเรา  บอกว่าเอาไปฝาก  บางตัวก็มีคนมาฝากไว้กับป้าตั้ง 13 ปีมาแล้ว  บางทีถ้าป้าปฏิเสธเขาก็แอบผูกติดเสาบ้านเราไว้แล้วก็ขับรถหนีไปก็มี"  ป้าทองพรเล่าด้วยความรู้สึกอันเอือมระอา


 


ตลอดเวลาที่ผ่านมา การกระทำของป้าทองพรเองมีทั้งคนที่ชื่นชมและคนตำหนิ  แต่ป้าเองก็ไม่เคยนึกสนใจ  ด้วยว่าคนพวกนี้คิดแต่จะทำยังไงให้ชีวิตพเนจรเหล่านี้พ้นไปเสียจากถาดผักชีที่โรยตัวอยู่ทุกหย่อมหญ้า  แม้ข้าวเหลือจาก อ.มช.ก็เอาใส่ถุงไปทิ้งเสียที่อื่น  นั่นจึงยิ่งเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ป้าทองพรรักที่จะทำงานนี้ต่อไป


 


…………………………..


 


เจ้าตูบนักพเนจรทั้งหลายเริ่มอิ่ม  บางตัวก็ลากสังขารที่ค่อนข้างจะโรยราเข้าไปแฝงความเย็นในตัวอาคารเพื่อหลบแสงแดดที่เจิดจ้าของดวงตาวัน  บางตัวก็ยังคงนอนหลบเงาอยู่ใต้ต้นสัก  หมาที่นี่ดูมีความสุขเหมือนไม่เคยทุกข์ร้อนมาก่อนในชีวิต ทั้งที่ชีวิตของพวกมันนั้นเพิ่งเดินผ่านความตายมาอย่างเฉียดฉิว  และก่อนหน้านี้เคยมีข่าววางยาพวกมันให้หมดไปจาก มช.เสียด้วยซ้ำ


 


ป้าทองพรกำลังจับพลิกดูแผลของหมาบางตัวที่ยังหลงเหลืออยู่พร้อมช่วยทายาจากกระเป๋าสัมภาระใบโตที่มักพกพาไปไหนต่อไหนเสมอ  ป้าเองไม่ได้คาดหวังว่าในอนาคตจะมีผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของแก  เพียงแต่ในขณะที่มีชีวิต  มีแรงก็จะทำต่อไปเต็มที่จนสุดความสามารถ 


"จนกว่าจะไม่มีแรงนั่นล่ะ"  ป้าทองพรตั้งปณิธานไว้


 


ในท้ายที่สุดของการสนทนาป้าทองพรก็ฝากคำพูดถึงทุกคนว่า


 


 "สัตว์เลี้ยง  หากจะเลี้ยงก็ต้องรัก  ถ้าไม่รักก็ไม่ต้องเลี้ยง  ส่วนหมาพวกนี้มันกลายเป็นหมาจรจัดไปแล้วเมื่อเปลี่ยนอะไรไม่ได้ก็ขอเพียงแต่สงสารพวกมันบ้าง ... สัตว์โลก แบ่งๆกันกิน"