ความหวังในการดับไฟใต้
คอลัมน์/ชุมชน
คงมีประชาชนจำนวนไม่มากนักที่รู้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่รัฐแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี ทั้งนี้เพราะแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐเองตั้งแต่ระดับสูงลงมาจนถึงระดับล่าง น้อยคนที่รู้ว่ามีคำสั่งฉบับนี้ คำสั่งที่ว่าคือคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๑๘๗/๒๕๔๖ เรื่องนโยบายการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี
เมื่อเร็ว ๆ นี้ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชิดชนก ราฮิมมูลา แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ได้เปิดเผยรายงานวิจัยที่นำเสนอต่อคณะอนุกรรมการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี ของคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ ข้อมูลที่น่าสนใจประการหนึ่งก็คือ จากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่รัฐในหลายระดับ ทั้งทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง จำนวน ๕๓ คน ปรากฏว่ามีเพียง ๗ คนเท่านั้นที่รับรู้และเข้าใจคำสั่งฉบับนี้อย่างชัดเจน แต่ที่น่าวิตกกว่านั้นก็คือไม่มีเจ้าหน้าที่ด้านกิจการพลเรือนของกองทัพบกคนใดที่เคยเห็นหรือเข้าใจสาระสำคัญของคำสั่งฉบับนี้เลย
หากไม่นับคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ ๖๖/๒๕๒๓ อันลือชื่อแล้ว เห็นจะมีแต่คำสั่งที่ ๑๘๗/๒๕๔๖ เท่านั้นที่จัดว่าเป็นนวัตกรรมสำคัญที่สุดของภาครัฐ ในการรับมือกับความขัดแย้งอย่างรอบด้านอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โลกและความเปลี่ยนแปลงขนานในระดับประเทศ แม้ว่าตอนที่ออกคำสั่งฉบับนี้ สถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่ถึงขั้นวิกฤต แต่หัวใจของคำสั่งฉบับนี้ซึ่งมุ่ง "ฟื้นคืนความไว้วางใจระหว่างรัฐและประชาชน" และ "ขจัดความเกลียดชังหรืออคติที่เริ่มปรากฏขึ้นในสังคมไทย" ก็นับว่าพุ่งตรงไปยังแก่นแกนของวิกฤตการณ์ดังกล่าวอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
คำสั่งฉบับนี้ได้วางแนวทางการปฏิบัติไว้หลายประการ อาทิ "จัดการความขัดแย้งที่เกิดขึ้นด้วยการเคารพสิทธิของประชาชน และให้มีการสื่อสารสองทางระหว่างฝ่ายต่าง ๆ บนพื้นฐานของความเสมอภาค ปราศจากอคติ และความเกลียดชัง" และ "จัดการความขัดแย้งที่กำลังจะกลายเป็นความรุนแรง โดยอาศัยบุคลากรที่มีทัศนคติต่อคู่ขัดแย้งอย่างฉันท์มิตร มีความเข้าใจเรื่องสันติวิธีอย่างชัดเจน และมีทักษะในการเผชิญกับความขัดแย้ง"
ไม่จำเป็นต้องจินตนาการไปไกล ก็สามารถมองเห็นได้ว่า หากแนวทางปฏิบัติข้างต้นถูกนำไปใช้โดยเจ้าหน้าที่รัฐในภาคใต้ การชุมนุมที่ตากใบเมื่อปี ๒๕๔๗ คงไม่จบลงอย่างโหดร้ายและเจ็บปวดอย่างนั้น มิพักต้องเอ่ยถึงกรณีกรือเซะและอีกหลายเหตุการณ์ทั้งก่อนและหลังจากนั้น ซึ่งได้ทำลายความไว้วางใจระหว่างรัฐกับประชาชน อีกทั้งสร้างความเกลียดชังและอคติระหว่างประชาชนสองกลุ่มอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ด้วยเหตุนี้ ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงมิใช่เป็นภาพสะท้อนความล้มเหลวของสันติวิธี แต่สะท้อนถึงความล้มเหลวในการนำสันติวิธีไปใช้ให้เกิดผลต่างหาก หรือพูดให้ชัดกว่านั้นคือ มันสะท้อนถึงความล้มเหลวของภาครัฐที่ไม่นำสันติวิธีมาใช้เป็นแนวทางปฏิบัติอย่างจริงจัง การที่เจ้าหน้าที่รัฐตั้งแต่ระดับนโยบายลงมาจนถึงระดับปฏิบัติ ส่วนใหญ่ไม่รู้จัก คำสั่งที่ ๑๘๗/๒๕๔๖ เลย (มิพักต้องพูดถึงความเข้าใจและทักษะทางด้านสันติวิธี) เป็นสิ่งชี้ชัดถึงความล้มเหลวของฝ่ายรัฐมากกว่าความล้มเหลวของสันติวิธี
อย่างไรก็ตามงานวิจัยของอาจารย์ชิดชนก ได้ให้ประกายแห่งความหวังไม่น้อย เนื่องจากได้แสดงให้เห็นว่า ยังมีเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนไม่น้อยที่เห็นความสำคัญของสันติวิธีและพยายามใช้สันติวิธีด้วยความอดทนอดกลั้น โดยมองเห็นประชาชนในพื้นที่เป็นเพื่อนร่วมชาติ มากกว่าที่จะมองเป็นปฏิปักษ์หรืออริราชศัตรู และมีหลายกรณีที่สามารถชนะใจประชาชน จนศรัทธาต่อเจ้าหน้าที่รัฐได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่
กรณีหนึ่งที่น่าสนใจคือ กรณีตำรวจอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานีทำการปิดล้อมหมู่บ้านแห่งหนึ่งและจับกุมผู้ต้องหาก่อความไม่สงบได้ แต่ขณะนำตัวผู้ต้องหาขึ้นรถ ชาวบ้านและกลุ่มสตรีได้มาล้อมเจ้าหน้าที่เอาไว้ แต่เจ้าหน้าที่ตัดสินใจไม่ปะทะกับชาวบ้าน แม้ผู้ต้องหาจะหลบหนีไปได้ แต่วันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ก็กลับมาตรวจค้นบ้านผู้ต้องหาในหมู่บ้านเดิม โดยทำความเข้าใจกับชาวบ้านถึงความจำเป็นต้องตรวจค้น คราวนี้ชาวบ้านไม่ขัดขวาง หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ยังส่งชุดประชาสัมพันธ์ไปทำความเข้าใจกับชาวบ้านอีกโดยไม่พกอาวุธ เจ้าหน้าที่ได้พบว่าบรรยากาศในหมู่บ้านเปลี่ยนไป สายตาที่เกลียดชังไม่เป็นมิตร เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มและต้อนรับเจ้าหน้าที่มากขึ้น
เจ้าหน้าที่เหล่านี้ตระหนักดีว่า การใช้ความรุนแรงนั้น ได้ผลระยะสั้น แต่ก่อปัญหาระยะยาว ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินผู้หนึ่งมีหลักการสำคัญว่า ในการทำงานจะไม่ให้ได้ยินเสียงปืนแม้แต่นัดเดียว ไม่ว่าจากฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบหรือฝ่ายเจ้าหน้าที่ เพราะว่า "หนึ่งนัดที่ยิงออกมาจากเจ้าหน้าที่ ถ้าไปโดนผู้ก่อความไม่สงบ ซึ่งเขาก็มีสังคม มีญาติพี่น้อง ครอบครัว ที่ต้องเสียใจเช่นเดียวกัน หรือ.....ถ้าเขาหลบทัน แต่บังเอิญไปโดนประชาชนผู้บริสุทธิ์ จะกลายเป็นเรื่องที่ใหญ่หลวงมาก จะเกิดเป็นเงื่อนไขพันกันตามมาอีกมากมาย"
ไม่เพียงแต่เสียงปืนจากเจ้าหน้าที่และผู้ก่อความไม่สงบเท่านั้น แม้แต่เสียงปืนจากประชาชนที่ต้องการแก้ปัญหากันเอง ก็ไม่สมควรสนับสนุน ตชด.ผู้หนึ่งเล่าว่ามีประชาชนไทยพุทธและมุสลิมมาขอสมัครเป็นผู้สังหารผู้ก่อความไม่สงบ เพราะต้องการให้ความรุนแรงยุติ แต่ตชด.ผู้นี้ได้ห้ามไว้ เพราะไม่ต้องการให้เกิดรอยร้าวลึกระหว่างประชาชนกับประชาชนด้วยกัน ที่จริงผลเสียย่อมไม่ได้มีแค่นั้น ศรัทธาในเจ้าหน้าที่ต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน เพราะในบรรยากาศที่หวาดระแวงสูง เมื่อผู้ก่อความไม่สงบถูกยิงทิ้งกลางถนน ใครเล่าจะตกเป็นจำเลยในสายตาของประชาชนหากมิใช่เจ้าหน้าที่
การวิจัยครั้งนี้ได้พบว่า หน่วยงานรัฐที่พยายามแปรคำสั่งที่ ๑๘๗/๒๕๔๖ ให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ได้แก่ กองทัพเรือ และกองบัญชาการตำรวจชายแดน กองทัพเรือนั้นได้จัดให้มีการอบรมผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินก่อนลงมายังพื้นที่ภาคใต้ โดยมีการชี้แจงคำสั่งฉบับนี้เพื่อให้เป็นแนวทางปฏิบัติ ในทำนองเดียวกัน ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนได้นำคำสั่งฉบับนี้มาเป็นแนวทางปฏิบัติ โดยมีการจัดอบรมและชี้แจงคำสั่งแก่ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจ แม้ว่าระดับผู้บังคับหมวดเฉพาะกิจ จะไม่รับรู้คำสั่งฉบับนี้ แต่ก็มีความเข้าใจในสันติวิธีตามหลักการของคำสั่งฉบับนี้
ทางด้านตำรวจภูธร แม้จะไม่ได้มีการขับเคลื่อนคำสั่งฉบับนี้ลงสู่การปฏิบัติอย่างเป็นกิจจะลักษณะ แต่ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๙ ก็เห็นความสำคัญของแนวทางสันติวิธี โดยให้น้ำหนักกับบุคลากรมาก กล่าวคือ "สันติวิธีจะเกิดขึ้นในพื้นที่ได้ ต้องเริ่มต้นจากทุกคนที่ต้องคิดดี ทำดี มองในแง่ดี หน่วยงานของรัฐจะดีอยู่ที่ผู้นำ....แม้จะมีแนวทางสันติวิธี แต่ได้คนไม่ดีมาทำงาน สันติวิธีย่อมไม่เกิดขึ้นในพื้นที่"
สันติวิธีจะได้ผลเพียงใด ไม่ได้อยู่ที่แนวทางหรือคำสั่งเท่านั้น แต่ยังอยู่ที่ตัวบุคคลโดยเฉพาะผู้นำองค์กรด้วย นี้คือเหตุผลอธิบายว่าแม้รัฐบาลดูเหมือนจะหลงลืมคำสั่งฉบับนี้ไปแล้ว แต่คำสั่งฉบับนี้ก็ยังถูกขับเคลื่อนไปได้ เพราะผู้นำบางหน่วยงานยังเห็นความสำคัญอยู่ และสามารถทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นคล้อยตามได้
ที่น่าสังเกตก็คืองานวิจัยชิ้นนี้ได้ชี้ว่าเจ้าหน้าที่ที่เคยผ่านสมรภูมิแห่งความขัดแย้งมาแล้ว ไม่ว่าในการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์และโจรจีนคอมมิวนิสต์มลายา รวมทั้งผู้ที่เคยร่วมงานรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ บุคคลเหล่านี้(ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทหาร)จะปฏิเสธการใช้ความรุนแรงอย่างสิ้นเชิง เพราะได้รับบทเรียนและความเจ็บปวดจากการใช้ความรุนแรงมาแล้วในอดีต
วันนี้ความหวังในการดับไฟใต้จึงอยู่ที่บุคคลเหล่านี้เป็นสำคัญ หาได้อยู่ที่รัฐบาลไม่
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกในโพสต์ทูเดย์