"ดื้อดึงอย่างเชี่ยวชาญ" และ "หน้าด้านตามกติกา"

หรือปฏิกิริยาดื้อดึงดื้อด้านอย่างยืดเยื้อยาวนานของ กกต. ที่ไม่ยอมรับฟัง หรือไม่ยอมปฏิบัติ ตามคำวินิจฉัยหรือตีความ  ตามมติที่ประชุมร่วมของ ๓ ศาลสูงสุด ซึ่งประกอบไปด้วยศาลฎีกา ศาลปกครองสูงสุด และศาลรัฐธรรมนูญ อันอยู่ในฐานะกลุ่มองค์กรผู้มีหน้าที่ให้คำวินิจฉัยและตัดสินขั้นสุดท้าย ว่าอะไรถูกผิด-ชอบควร ในการปฏิบัติงานหรือการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยกล่าวอ้าง ทำนองว่ามติที่ประชุมดังกล่าวนั้น เป็นเพียงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ มิใช่คำตัดสินอันระบุข้อกฎหมายรายมาตรารองรับ ตามขั้นตอนและวิธีพิจารณาความในกระบวนการยุติธรรมตามปกติก็ตาม

ดูเหมือนว่า ทั้ง ๒ กรณีนี้มิได้ใส่ใจถึงเนติ--แบบอย่าง หรือบรรทัดฐานทางสังคม และ คุณธรรม-จริยธรรม ใดๆ นอกจากนั้น ยังออกอาการตะบึงตะบอน และตะแบงไปด้วยข้ออ้างประเภท "กติกู" ชนิดเอาสีข้างเข้าถูอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

คุณทักษิณ กล่าวตอบนักข่าวหลังการประชุมพรรคไทยรักไทยเมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม มีความโดยสรุปว่า ตนยังจะไม่ทำงาน เพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในชาติ อยากให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยต่อไป พร้อมทั้งแบ่งรับแบ่งสู้ ว่านอกเหนือจากงานในพระราชพิธีแล้ว หากเห็นว่าจำเป็นก็อาจกลับมาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีอีก ก่อนการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอีกประมาณ ๕ เดือนข้างหน้า เรียกว่านอกจากจะทิ้งงานแล้ว ยังทวงบุญทวงคุณเอาเสียด้วย

คุณทักษิณกล่าวเช่นนี้ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายภาระหน้าที่ให้ผู้อื่นปฏิบัติงานแทนมาแล้วกว่า ๑ เดือน โดยแสร้งแสดงบทบาทต่อสาธารณะว่าตน "เว้นวรรค" ไปแล้ว ทั้งที่ในความเป็นจริง และตามกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังดำรงตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี อยู่เช่นเดิม ดังปรากฏอยู่ในข้อมูลของเว็บไซต์รัฐสภาไทย ที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงว่า

"พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า จะขอลาพักการปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่หลังการ เลือกตั้งยุติ   และในฐานะที่ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ เป็นรองนายกรัฐมนตรีอันดับ 1 จึงให้  พล.ต.อ.ชิดชัยทำหน้าที่แทน  ในช่วงนี้หากมีข้อกฎหมายสำคัญและมีความจำเป็นยิ่งยวด พ.ต.ท.ทักษิณก็จะลงนามเอง นอกเหนือจากนั้นให้ พล.ต.อ.ชิดชัยทำหน้าที่แทน"

ซึ่งหมายความว่า หลังฉากของละครเว้นวรรคอันเศร้าสะเทือนใจของกองเชียร์และทีมงาน ยังมีปาหี่ซ้อนปาหี่อยู่อีกด้วย และที่สำคัญ ถึงบัดนี้ คุณทักษิณยังคงอยู่ในหน้าที่โดยไม่ต้องทำงาน และยังรับผลตอบแทนจากภาษีอากรของประชาชนครบถ้วนในอัตราเดิม ไปไหนมาไหนในฐานะผู้นำฝ่ายบริหาร "ตัวจริงเสียงจริง" อยู่เช่นเดิม มีของหลวงเป็นเครื่องมือ มีเงินหลวงและคนหลวงให้ใช้ แม้วันไปช้อปปิ้งกับภรรยาก็ตาม

เช่นเดียวกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ยังคงรับผลประโยชน์ตอบแทน ทั้งเงินและสวัสดิการต่างๆ อย่างครบถ้วนเช่นกัน แม้จะมีการปฏิบัติงานผิดพลาดจนปรากฏชัดในต่างกรรมต่างวาระ กระทั่งเกิดความเสียหาย และเกิดความอับอายแก่ประเทศชาติบ้านเมือง เมื่อข่าวสารได้รับการเผยแพร่ออกไปสู่นานาอารยประเทศมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานแล้วก็ตาม ยิ่งประกอบเข้ากับสถานภาพที่ปรากฏตามคำวินิจฉัยของ ๓ ศาล ว่ากรรมการเลือกตั้ง หรือ กกต.ชุดนี้ ไม่อยู่ในฐานะที่จะทำหน้าที่หรือดำเนินงานตามความรับผิดชอบและภารกิจที่ได้รับมอบหมายไปได้--ด้วยแล้ว การ "ตะแบง" หรือความ "ดื้อดึง-หน้าด้าน" ที่เห็นและเป็นอยู่นี้ ก็น่าที่จะต้องถือเป็นกรณีตัวอย่างในด้านลบ และด้านความเหลวแหลกเสื่อมโทรมของระบบ ตลอดจนโครงสร้างของ "ส่วนบน" ในสังคมไทยได้เลยทีเดียว

ไม่ว่าใครจะเห็นว่านี่เป็นผลผลิตหรือผลกระทบของคุณทักษิณหรือยุคทักษิณหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งที่คุณทักษิณและคณะ ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดจนกองเชียร์ทั้งหลายไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นร่วมสมัยกับการบริหารประเทศของคณะรัฐบาลและองคาพยพต่างๆ ของรัฐ อันอยู่ภายใต้คำและการบงการ หรือเสียหายขึ้นในวันคืนอันอยู่ในกำมือของคุณทักษิณโดยแท้

นอกจากนั้น ในที่นี้ยังมิได้กล่าวถึงความเสียหายของระบบและองค์กรอื่นๆ ซึ่งโดยปกติและโดยบังเอิญ ที่คุณทักษิณและพวก ในยุคที่มีอำนาจวาสนา มักยื่นมือไปแตะ หรือไปสัมผัสเกี่ยวข้อง จนเป็นเหตุ หรือส่งผลกระทบ ให้เกิดปรากฏการณ์ทำนองเดียวกันขึ้นอีกมากมายหลายที่

หรือว่านี่เป็นยุค "ดื้อดึงอย่างเชี่ยวชาญ" และ "หน้าด้านตามกติกา" กันไปหมดแล้ว บางคนบางกลุ่มบางองค์กรจึงยังเห็นดีเห็นงามที่จะให้คุณทักษิณอยู่ต่อ หรือช่วยกันหลอกล่อประชาชนให้เลือกบุคคลและพรรค "ของคุณทักษิณ" เข้ามาอีก...

อีกครั้งและอีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างโง่เง่า และไม่ยอมเข็ดหลาบเสียที...