Skip to main content

หน่ายการเมือง

คอลัมน์/ชุมชน


บรรยากาศทางการเมืองที่มีการสาดโคลนโจมตีจับผิดกันรายวันพาให้คนที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ โดยไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับมันรู้สึกอิดหนาระอาใจไปตาม ๆ กันและมันก็ยิ่งตอกย้ำความเชื่อแบบไทย ๆ ที่ว่าการเมืองเป็นเรื่องสกปรก  เป็นการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างคนไม่ดีกับคนไม่ดี และดังนั้นคนดี ๆ ไม่ควรเข้าไปยุ่งวุ่นวายเพราะรังแต่จะทำให้เปลืองตัวเปล่า ๆ  


 


การเมืองที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ถูกลดทอนให้เหลือเพียงเรื่องของการต่อสู้เพื่อเอาชนะกันโดยไม่คำนึงถึงหลักการใด ๆ ทั้งสิ้น พร้อมจะใช้วิธีการทุกรูปแบบเพื่อให้บังเกิดผลชนะโดยไม่คิดถึงผลได้ผลเสียที่จะเกิดขึ้นต่อส่วนรวมในระยะยาว  มากยิ่งไปกว่านั้นก็คือพร้อมที่จะทำลายหลักการขั้นพื้นฐานของการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเพียงเพื่อโค่นล้มฝ่ายตรงข้ามให้ได้เท่านั้น


 


สิ่งที่เหมือนกันกับที่เกิดขึ้นในสงครามอื่น ๆ คือการต่อสู้ทางการเมืองในตอนนี้นั้น สิ่งที่ต้องบาดเจ็บก่อนใดอื่นก็คือ "ความจริง" ไม่มีใครรู้แล้วล่ะครับว่าความจริงมันอยู่ตรงไหน ฝ่ายไหนพูดเท็จ ฝ่ายไหนพูดจริง พรรคประชาธิปัตย์จะสร้างหลักฐานปลอมอย่างที่ถนัดและเคยทำได้ผลมาแล้วในอดีต? หรือว่าพรรคไทยรักไทยทำผิดจริงอย่างที่ถูกกล่าวหา?


 


ความจริงไม่อาจปรากฏตัวออกมาได้เพราะกำลังบาดเจ็บอยู่และกำลังจะตายในอนาคตอันใกล้ ดังนั้น จึงมีการ "สร้างความจริง" ขึ้นมาทดแทนซึ่งกระบวนการนี้กำลังเกิดขึ้นรายวัน  ที่สุดประชาชนก็ไม่อาจตัดสินได้ว่าอะไรเป็นของจริง อะไรเป็นของปลอม


 


การใช้ตรรกะเหตุผลอาจเป็นหนทางหนึ่งที่ไขไปสู่ "ความจริงได้ แต่การใช้ตรรกะเหตุผลได้ถูกทำลายลงแล้วด้วยเช่นกัน  ตอนนี้เราแทบจะหาคำพูด คำให้สัมภาษณ์หรือได้เห็นพฤติกรรมที่แสดงถึงความมีวุฒิภาวะเปี่ยมเหตุผลได้ยากอย่างยิ่ง มีแต่การทะเลาะกัน  แก้เผ็ด แก้แค้นกันซึ่งดูแล้วก็เหมือนเด็กอมมือ ไม่เหมือนผู้ใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบปัญหาของประเทศชาติ


 


สิ่งที่ได้พบเห็นคือสภาวะไร้ขื่อแป ที่เต็มไปด้วยม็อบสารพัด ที่รุนแรงที่สุดในตอนนี้ก็คือ ม็อบ กกต. ม็อบเถื่อนที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือ กกต. ผมต้องผ่านถนนเส้นนี้ประจำ บางทีรู้สึกรำคาญม็อบ  บางทีก็รู้สึกเห็นใจ กกต. อย่างมาก ที่ต้องมาตกเป็นเหยื่อของความไร้เหตุผล


 


ผมไม่รู้ล่ะครับว่า กกต. สมควรลาออกหรือไม่ แต่การกดดัน กกต. ด้วยวิธีการที่ป่าเถื่อนรวมหมู่เป็นสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยอย่างมาก 


 


ปัญหาทางการเมืองที่สำคัญที่เกิดขึ้นในตอนนี้ในความเห็นของผม คือทุกฝ่ายหรือแทบทุกฝ่ายที่เข้าร่วมโรมรันไม่อยู่ในสภาวะที่จะใช้ตรรกะเหตุผลได้เลย ไม่ต้องพูดถึงนักการเมืองฝ่ายค้านอย่างคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ  หรือกลุ่มพันธมิตรที่อ้างตัวโดยไม่ต้องให้ใครมาเลือกตั้งว่าเป็นการเมืองภาคประชาชน แต่เอาเข้าจริงก็เป็นการเมืองภาคประชาชนที่บัดซบที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา 


 


แม้แต่นักวิชาการ ก็ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ในสภาวะที่ไม่อาจใช้ตรรกะเหตุผลได้ทั้งนั้น การเคลื่อนไหวของนักวิชาการต่อปรากฏการณ์ทางการเมืองขณะนี้ ได้สะท้อนให้เห็นความตกต่ำของอาชีพนักวิชาการอย่างแท้จริง เพราะออกมาเคลื่อนไหวอย่างไม่เหลือลายของนักวิชาการที่ยึดความมีเหตุผลอยู่เลย   


 


การเมือง "ภาคประชาชน" ก็กำลังถึงจุดเสื่อมถอยอย่างหนัก ว่ากันตามจริง จะหาผู้นำภาคประชาชนที่น่านับถือศรัทธาก็คงจะหาไม่ได้  ผมว่าแค่ความผิดพลาดในเรื่องมาตรา 7 เพียงเรื่องเดียวก็มากเกินพอแล้วสำหรับการหันหลังให้กับการเมืองภาคประชาชนไปตลอดกาล


 


ครับ การเมืองภาคประชาชนสมควรถูกดูถูกอย่างไม่ต้องรีรอ โดยไม่ต้องปิดบัง ผมเป็นคนหนึ่งนะครับที่ออกจะดูถูกการเมืองภาคประชาชน ในวงเล็บว่าเป็นการเมืองภาคประชาชนกลับกลอกในส่วนที่ต้องการโค่นล้มคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นการเมืองภาคประชาชนที่อยู่ฝ่ายพันธมิตรและพึงพอใจหรือทำเฉย ๆ กับมาตรา 7 แต่ทำเป็นเสียงดังเมื่ออ้าปากบอกว่า "ทักษิณออกไป"


 


ก่อนหน้านี้ผมเคยนิยมชมชอบคุณอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ ที่จบการศึกษาสูง เรียนเก่ง มีความทะเยอทะยาน แต่ตอนนี้ต้องยอมรับกับตัวเองแล้วล่ะครับว่าคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นอนาคตของการเมืองไทยที่น่าผิดหวังอย่างยิ่ง น่าเสียดายนะครับที่คนหนุ่มอย่างคุณอภิสิทธิ์ ยังคงว่ายวนอยู่ในอ่างการเมืองแบบเก่าที่เน่าและสกปรก  คำให้สัมภาษณ์ของคุณอภิสิทธิ์ แต่ละครั้ง เต็มไปด้วยจริตจะก้าน กล่าวหาว่าร้ายคนอื่น ขาดความน่าเชื่อถือ  แล้วผลงานการบอยคอตการเลือกตั้ง 2 เมษา ก็เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่ยืนยันว่าคุณอภิสิทธิ์ ไม่เหมาะที่จะเป็นอะไรเลยนอกจากเป็นนักการเมือง (ฝ่ายค้าน)


 


สิ่งที่ทำให้การเมืองเป็นเรื่องน่าหน่ายนอกจากพฤติกรรมของฝักฝ่ายต่าง ๆ แล้วก็คือสื่อมวลชน ผมว่าการเสนอข่าวของสื่อมวลชนก่อให้เกิดมลพิษทางอารมณ์ได้มากจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์หรือกระทั่งในเว็บไซต์ 


 


สื่อมวลชนควรจะเพลา ๆ การเสนอข่าวการเมืองลงบ้าง  และไม่ควรไปให้ความสำคัญกับคำให้สัมภาษณ์ที่กล่าวโจมตีฝ่ายตรงข้าม แล้วรายการประเภท "เล่าข่าว" นั้นก็ควรจะยุติหรือยกเลิกไปเสีย เพราะเป็นการ "อ่านซ้ำ"  "พูดซ้ำ"  ที่ไร้ประโยชน์


 


ในโลกยุคปัจจุบัน ใคร ๆ ก็อ่านหนังสือพิมพ์ได้แล้วหรืออย่างน้อยก็ดูข่าวโทรทัศน์รู้เรื่อง ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องมาเล่าข่าวซ้ำอีก การเก็บข่าวมาเล่าจึงรังแต่จะทำให้คนเบื่อข่าวสารมากกว่าเพราะมันเป็นการยัดเยียดเข้ามาจนล้นเกิน ถึงตอนนี้ผมมีความสนใจเพียงน้อยนิดว่าคุณทักษิณ   ชินวัตร จะอยู่หรือจะไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมยังลุ้นระทึกอยู่บ้าง      


 


และผมก็เลิกสงสัยไปแล้วว่าหากคุณทักษิณ  ชินวัตร ลงแล้วใครจะมาเป็นนายกฯ คนต่อไป พรรคประชาธิปัตย์จะทำหลักฐานปลอมอีกกี่ร้อยชิ้น เพราะอย่างที่บอกว่ารู้สึกหน่ายการเมืองเต็มที นานวันก็ยิ่งคิดว่าการเมืองและข่าวการเมืองเป็นมลพิษของชีวิตไป


 


และผมก็ยิ่งสนใจน้อยลงไปอีกว่าฝ่ายพันธมิตรจะใช้กระบวนท่าอะไรในการเคลื่อนไหวขับไล่คุณทักษิณ ชินวัตร ครั้งต่อไป เพราะผมเห็นว่าฝ่ายพันธมิตรไม่เหลืออะไรให้ควรค่าแก่การสนใจอีกต่อไปแล้ว