Skip to main content

เงิน เงิน เงิน

คอลัมน์/ชุมชน

ผู้เขียนมาถึงเมืองไทยตั้งแต่ คืนวันที่ 13 พ.ค. กลับมาคราวนี้มาปักหลักอยู่เมืองไทย ไม่กลับไปทำงานที่สหรัฐฯ หลายคนถามว่าเกิดอะไรจึงกลับมา หลายคนงงและคิดว่าผู้เขียนคงจะเพี้ยนเสียเต็มประดา เพราะเงินรายได้ในสหรัฐฯ นั้นมากกว่าที่เมืองไทยกว่า 4 เท่าเป็นอย่างน้อย ซึ่งก็จริง แต่รายจ่ายนั้นมากกว่าด้วยเช่นกัน แต่ที่มากกว่านั้นคือต้องการกลับมาอยู่กับครอบครัวและญาติมิตร ทั้งที่รู้ว่าต้องแลกเปลี่ยนกับรายได้ ความเจริญทางปัญญา และอิสระทางความคิดในหลายเรื่อง แต่ว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องทำหน้าที่ "ชวนป๋วยปี่แปกอ" ดังนั้นเรื่องของเงินตรา จึงไม่อาจมาแทนความรู้สึกดังกล่าวได้


 


คนไทยนั้นยังน่ารัก มีความเป็นมิตรมาก ผู้เขียนโดนทักว่าเป็นพวกเกาหลี หรือญี่ปุ่น หรือฮ่องกง หลายคนเกิดอุปาทานไปขนาดว่าผู้เขียนพูดไทยไม่ชัด ทั้งที่ผู้เขียนมั่นใจว่าพูดไทยชัดกว่าคนไทยหลายคนที่อยู่เมืองไทยตลอดชีวิตเสียอีก ไม่เคยคิดเลยว่าจะพูดไทยไม่ชัด เคยเจอคนไทยที่รู้จักหลายคนไปดมอึฝรั่งมาสองปี กลับไทยดัดจริตจนพูดไทยไม่ชัด แต่พูดฝรั่งเองก็ไม่ได้เรื่อง เรื่องนี้คงเก็บไว้เม้าท์ต่อไปเพราะน่าสนุกและยาวมากกว่าที่คิด


 


ผู้เขียนนึกขอบคุณที่หลายคนให้ความเป็นมิตรสูง และให้เกียรติมาก จนเขิน  คงเป็นเพราะอยู่กับฝรั่งมากจนไม่รู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญ แต่คนไทยที่นี่เอาใจคนได้ดีมาก นี่ขนาดมาเมืองไทยออกบ่อยก็ตาม คราวนี้รู้สึกว่าไม่เหมือนคราวมาแวะเยี่ยมแบบแต่ก่อน แต่รู้ได้อย่างหนึ่งว่า ลึกๆ คนไทยยังรู้สึกว่าตนเองด้อย ยิ่งกับเรื่องของฝรั่ง คนไทยที่ไปได้กลิ่นฝรั่งมากลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ไม่แปลกใจที่คนไทยหลายคนจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะดัดจริตเป็นฝรั่ง ทั้งที่ฝรั่งจริงๆ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น มาสร้างภาพเพื่อความได้เปรียบของตนเอง อนาถยิ่งนัก


 


เป็นธรรมดาที่ผู้เขียนต้องออกไปทำธุระในสถานที่ต่างๆ มากกว่าตอนที่แค่มาแวะเยี่ยมเยียน ผู้เขียนยอมรับว่ามีความ "แปลกแยก" ในหลายเรื่อง เช่นเรื่องซื้อของตามซูเปอร์สโตร์ เพราะคราวนี้มาอยู่แบบจริงๆ จังๆ ต้องซื้อของบางอย่างมากกว่าซื้อกับข้าว ยอมรับว่าทำใจไม่ได้ง่ายนักกับคุณภาพของสินค้า เพราะเมื่อเปรียบกับราคาแล้ว คนไทยซื้อของแพงกว่า ทั้งที่ของนั้นผลิตในไทย ของแบบเดียวกันที่สหรัฐฯ ทำจากประเทศไทย ราคาถูกกว่าแต่คุณภาพดีกว่า มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย น่าสงสารสังคมไทยเสียจริงๆ ลักษณะเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการเป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจโดยแท้ เพราะต้องเสิรฟประเทศนักล่าอาณานิคม ไม่เห็นมีใครมาต่อล้อต่อเถียง แต่ยิ่งกลับส่งเสริมให้มีการส่งออกมากขึ้นในลักษณะนี้ด้วยซ้ำ คือคนทำไม่ได้ใช้ของที่พอมีคุณภาพที่ตนเองทำ


 


เพราะว่าผู้เขียนต้องติดเคเบิ้ลทีวีเพื่อดูรายการสารคดีหลายอย่างที่ฟรีทีวีให้ไม่ได้ เช่นเดียวกับผู้ที่ดูแลบ้านผู้เขียนต้องการดูรายการกีฬา (ซึ่งผู้เขียนไม่ชอบใจนัก เพราะเป็นเหมือนอบายมุขในสายตาของผู้เขียน)  นอกจากนี้ได้ตัดสินใจที่จะสร้างบริเวณทำงานและพักผ่อนในเวลาเดียวกัน จึงต้องซื้อทีวีใหม่ พร้องเครื่องเล่นคาราโอเกะ ตั้งงบประมาณไว้ไม่สูงเพราะรู้ดีว่าของพวกนี้ไม่ว่ายี่ห้อใด ก็คงพังได้ในระยะเวลาไม่นานนัก


 


เมื่อไปซื้อที่ห้างก็พบว่ามียี่ห้อที่มาจากจีนแผ่นดินใหญ่ มีขายในสหรัฐฯ ด้วย แต่รู้ดีว่าคุณภาพนั้นไม่ได้สูงส่งราคาก็ถูกสุดๆ ในตลาดแบบไทยๆ หลายคนไม่สนใจเพราะให้ความสำคัญกับยี่ห้อ  ผู้เขียนก็เป็นแบบนี้มาก่อน ซื้อมาแล้วใช้ไปไม่ว่ายี่ห้อดังแค่ไหนก็ไม่เกินสามปี ผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง มารู้ทีหลังว่าไม่ว่ายี่ห้อใดก็ทำออกมาจากโรงงานเดียวกัน อาจต่างกันในรายละเอียดเล็กน้อย แต่ราคาต่างกันมาก ตามลักษณะทางการตลาดเท่านั้น


 


เพราะด้วยราคาเป็นหลัก ทำให้คนที่มาซื้อผลิตภัณฑ์ยี่ห้อนี้ กลายเป็นคนจนไปในสายตาของคนขาย พนักงานขายจึงมองผู้เขียนแบบดูถูก ผู้เขียนขำแบบสุดๆ เพราะเดินไปถามพนักงานอีกคนว่าเครื่องเล่นคาราโอเกะอันไหนที่ถูกและไม่ชั่วร้ายจนเกินไป พนักงานคนนี้เห็นผู้เขียนเลือกทีวีราคาถูกจากพนักงานขายอีกคนหนึ่ง ตอนที่เดินไปถาม พนักขายคนนี้ยืนคุยกับพนักงานขายอีกคนอยู่ ทั้งสองหันมาทางผู้เขียนเมื่อผู้เขียนเอ่ยถาม ทั้งสองมองผู้เขียนหัวจรดเท้า เหมือนในหนังเลย รู้สึกขำแบบบอกไม่ถูก ได้แต่กลั้นยิ้ม แล้วก็ถามคำถาม  ในใจบอกว่าอย่าซื้อดีกว่า แต่ขอเก็บข้อมูล


 


พนักงานคนนั้นตอบแบบไม่มีหางเสียง และรู้สึกเหมือนรำคาญที่ตาแป๊ะแก่ๆ ใส่เสื้อยืด นุ่งขาสั้น ลากแตะ มาขัดจังหวะการคุย คงคิดในใจอีกด้วยว่า คงจนมาก อะไรก็จะเอาแบบถูกๆ ไม่ยอมซื้ออะไรที่เริ่ดๆ แพงๆ  อย่ากระนั้นเลย บอกราคาแพงๆ ไว้ มันจะได้ไปๆ ซะ


 


ไม่ทันไร ชายวัยกลางคนคนหนึ่งมาถามผู้เขียนเรื่องโทรศัพท์ที่ใช้ประจำบ้าน เพราะไม่มีพนักงานขายหน้าไหนมาช่วยตอบคำถาม  สงสัยจะจ้างมานั่งคุยกัน เล่นกัน  อนาถใจเหลือเกิน แต่ละคนล้วนแต่เป็นคนวัยหนุ่มสาวทั้งนั้น  เคยได้ยินมาว่าพนักงานหลายคนจะบ่นเมื่อวันลูกค้ามาก เพราะเหนื่อย ชอบวันที่เงียบๆ บอกว่า ดี ไม่ต้องทำงานแต่ได้เงิน หารู้ไม่ว่าถ้าของขายไม่ได้ ค่าจ้างคงไม่มีแล้วนายจ้างก็จะเลิกจ้าง 


 


ผู้เขียนอธิบายสรรพคุณโทรศัพท์แต่ละเครื่อง จนชายผู้นั้นตัดสินใจได้ และตกลงซื้อ  ผู้เขียนเปรยๆ ว่า พนักงานนี่หายไปไหนหมด ผู้เขียนน่ามาได้ค่าคอมมิชชั่นในการขายนี้แทน  แต่ช่างเถอะถือว่าได้ช่วยให้คนได้ตัดสินใจซื้อของที่เขาต้องการ ได้กุศล แต่อดคิดสะท้อนใจไม่ได้ว่า ทำไมพนักงานพวกนี้จึงได้ขี้เกียจสันหลังยาว แต่มาบ่นว่าชีวิตตนเองรันทดเหลือเกิน


 


ไม่นานหลังจากนั้น พนักงานที่ไปดำเนินการต่อชั้นวางทีวีให้ผู้เขียนก็เดินมาพร้อมกับชั้นวางทีวีที่ต่อเสร็จแล้ว ผู้เขียนถามว่าทำไมจึงไม่มีคนไปช่วยต่อ เขาบอกว่าไม่มีที่เขาทำให้เพราะต้องการเอาใจลูกค้า เขาเป็นพนักงานพีซีเครื่องคาราโอเกะต่างหาก ผู้เขียนจึงบอกว่าพาไปดูหน่อย จะซื้อเพราะว่าต้องการแสดงน้ำใจตอบแทนที่ช่วยดำเนินเรื่องทีวีและชั้นวางทีวี ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงเลย ผู้เขียนซื้อเครื่องเล่นคาราโอเกะแบบถูกๆ มาหนึ่งเครื่อง พนักงานคนนี้ก็ช่วยมาส่งให้ที่รถ


 


ผู้เขียนยังนึกดีใจว่ายังพอมีคนที่ยังรู้จักเรื่องการขาย และไม่หมิ่นเงินน้อย เชื่อว่าพนักงานคนนี้คงจะมีอนาคตมากกว่าคนอื่นๆ การขายสมัยนี้เน้นที่บริการและความประทับใจ เสียดายที่คนรุ่นใหม่เหล่านี้หลายคนเขลาทั้งที่ก็ได้รับการสอนมาว่าต้องมีความเพียร  ในรุ่นของผู้เขียนก็มีที่ขี้เกียจๆ แต่วันนี้ก็ไม่ได้มีอนาคต ตอนนี้หลายคนจึงตกอยู่ในสภาพที่แร้นแค้น ไร้ศักดิ์ศรี เพราะไม่สามารถสร้างความภูมิใจในตนเองได้เพราะแพ้ไปเสียทุกเรื่อง


 


จากประเด็นดังกล่าว ทำให้ผู้เขียนนึกถึงคำเตือนของท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งนามกระเดื่องเมืองไทยเพราะเรื่องคุณธรรมของท่าน ท่านบอกว่า "ฉันอายุมาจนวันนี้ ขอบอกเลยว่าคนสมัยนี้นั้นร้ายและแยบยลกว่าสมัยก่อนมาก เป๋อ (ผู้เขียน) ต้องระวังรักษาตัวให้ดีเมื่อกลับมาอยู่เมืองไทยคราวนี้ อย่าให้ตกเป็นเครื่องมือของใคร หรือตกเป็นเป้าประสงค์ร้ายของพวกเขา เพราะเป๋อมีความเด่นในหลายๆ ด้าน ฉันเป็นห่วงอย่างยิ่ง"


 


การเป็นคนที่ไม่ได้สนใจในเรื่องเปลือก เรื่องเงินทองแบบคนในกระแสหลัก ทำให้ผู้เขียนคิดและมองต่างกับหลายคน หลายครั้งตั้งคำถามว่าอะไรกันนักกันหนา ทำไมจึงกิเลสหนากันนัก ที่ยิ่งกว่านั้นพบว่าคนยิ่งมียิ่งเห็นแก่ตัว  ส่วนที่ไม่มีมีก็ทะยานอยาก โดนคนหลอกให้มีหวัง กลายเป็นลูกโซ่ของการหลอกลวงและเอาเปรียบ


 


คำถามว่าทำไมจึงเกิดเรื่องเหล่านี้ คำตอบก็คือเรื่องของเงิน เรื่องของผลประโยชน์ และความเชื่อว่าคนไหนมีเงินคือคนดี น่านับถือ ไม่เคยถามว่ามาได้อย่างไร โกงเขามาก็ไม่ผิด ถ้าบังเอิญโกงแล้วรวย หลายคนถึงขนาดไม่สนใจเลยว่าทำแล้วจะเกิดผลกระทบอย่างไรต่อสังคม


 


เมื่อกว่าสามสิบปีก่อน มีหนังเรื่อง "เงิน เงิน เงิน" น่าเอากลับมาฉายอีก แต่ขอบอกเลยว่า ถ้าจะทำหนังเรื่องนี้ขึ้นใหม่ คงต้องปรับอีกแยะ เพราะคนสมัยนี้ ดุเดือดกว่าคนในสมัยนั้นมากหลายช่วงทีเดียว ไม่น่าแปลกใจนักเพราะกระแสทุนนิยมสมัยใหม่มันแยบยลและซับซ้อนกว่าเดิมมากหลายเท่าทีเดียว