Skip to main content

ผลแห่งเหตุ

คอลัมน์/ชุมชน


ดูเหมือนว่า...  หรืออันที่จริงนั่นคือภาพที่เราเห็นจนชินว่า  การเติบโตของเรามักถูกจัดวางกรอบอะไรไว้ตั้งมากมาย  ทั้งที่เราวางเอง  ทั้งที่สังคมวางให้ ว่าก็คือ เริ่มตั้งแต่ครอบครัว โรงเรียน โทรทัศน์  หนัง ละคร วงการบันเทิง  และ หรืออะไรอื่นอีกมากมายนัก 


 


กรอบที่ว่าก็อาจจะเริ่มตั้งแต่ วิธีการ และเป้าหมาย  วิธีก็ว่าตั้งแต่เราต้องทำอะไรบ้างในแต่ละวันในชีวิต นับไปหนึ่ง สอง สาม  เรียนหนังสือเรียนยังไง ที่ไหน แล้วจะต่อไปอย่างไร ที่ไหน เรียนอะไรจากนี่ไปนั่นตามลำดับ  ถูกจับให้แต่งตัวอย่างนี้อย่างนั้น เดินอย่างนี้อย่างนั้นพูดแบบนี้แบบนั้น กินอย่างนี้กินอย่างนั้น ว่ากันไปตามแต่ความข้นหรือจาง ความบางความหนาของกรอบนั้นๆ  ถ้าไม่เป็นไปตามนี้ก็ถูกตราหน้าไปต่างๆ นานา  ขั้นต่ำก็เป็นเด็กเกเร  แล้วเป้าหมายก็เป็นภาระอันหนักหนาที่แต่ละคนต้องแบก มากน้อยก็สุดแท้  แล้วมันก็ต่อเนื่องไปถึงเรื่องชื่อเสียง การยอมรับ ฐานะ กิจกรรมที่ดูดีในวงสังคม 


 


มีเรื่องเล่าว่า  เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินทางรอนแรมออกจากบ้าน ออกท่องยุทธจักรเพียงลำพัง หลังจากที่ไม่สามารถเดินตามกรอบวิธีที่ถูกจัดวาง  ในการเดินทางนั้น เขาไปเพื่อหนีกรอบส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งก็เพื่อตามหาตัวเอง  ตามหาตัวตนที่แท้ ตามหาความปรารถนาอันลึกซึ้งของตน  แน่นอนว่า ในการเผชิญภาวะอันโดดเดี่ยว ความจน นั่นก็ทำให้ลำบากไม่ใช่น้อย  ทุกข์ ท้อ เปลี่ยวเหงา อดอยาก  ต้องเผชิญเรื่องราวมากมายซึ่งๆ หน้าโดยไม่อาจหลบเลี่ยง  พ่ายแพ้ ล้มเหลว อาจมีบ้างบางคราวที่เป็นความสำเร็จ    ดั่งว่าฟ้าดินกำหนด วันหนึ่งเขาได้พบยอดคนผู้หนึ่ง ในดินแดนอันห่างไกลเหลือเกินแล้ว  โชคมาวาสนาส่งเมื่อเขาได้กราบยอดฝีมือเป็นอาจารย์   แล้วการฝึกฝนก็เริ่มขึ้น  การฝึกฝนที่เขาพบว่า นี่คงจะเป็นวิถีของเขาแล้ว วิถีแห่งจอมยุทธ  


 


วันแล้ววันเล่าผ่านเดือน ผ่านปี  ยาวนาน  หนักบ้างเบาบ้าง บางครั้งยังรู้สึกว่า เรื่องราวของชีวิตช่างยากเย็นปานนี้  ศิษย์ร่วมสำนักหลายคนสำเร็จวิชาฝีมือ มากน้อยต่างกันออกไป แตกฉานต่างกันออกไป  แล้วเขาเล่า  เขาจะสามารถสำเร็จวิชาได้หรือเปล่า เพราะเท่าที่ดูชีวิตคนพเนจรแบบเขา แทบจะหาความสำเร็จอะไรไม่ได้เลย  แม้นั่นจะยังไม่ใช่ความรู้สึกท้อแท้ซะทีเดียว แต่ก็เป็นความไม่มั่นใจอยู่บ้าง 


 


วันหนึ่งเขาคุยกับอาจารย์ว่า


"อาจารย์ครับ  ผมไม่แน่ใจเลยว่า ผมจะสำเร็จวิชาฝีมือหรือเปล่า ดูมันช่างยากเย็นเหลือเกิน"


อาจารย์ได้ตอบเขาว่า


"การฝึกฝนของเรานั้นคือการสร้าง บ่มเพาะ หล่อเลี้ยงเหตุแล้ว  เมื่อเราจัดองค์ประกอบของการเรียนรู้ คือการสร้าง บ่มเพาะ หล่อเลี้ยงเหตุไว้ดีแล้ว มากพอแล้ว ในจังหวะ เวลาที่เหมาะสม ไม่ว่าเราจะหวังหรือไม่หวัง ผลก็ย่อมเกิดขึ้น ในภาวะนี้ก็คือการสำเร็จวิชาฝีมือ"


 


ด้วยถ้อยคำเพียงเท่านี้  นับแต่นั้นมา เด็กหนุ่มก็ตั้งใจฝึกฝน ฝึกฝน ฝึกฝน ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ  บางทีในการฝึกฝนเขาก็ลืมความสำเร็จไปเสียแล้ว  พร้อมกันนั้นด้วยเพียงถ้อยคำของอาจารย์ เขาได้ประสบผลสำเร็จไปแล้วขั้นหนึ่ง แล้วเขาก็ค่อยๆ ลืมความคาดหวัง  ลืมเป้าหมายของตัวเอง  เขาเพียงแต่สร้าง บ่มเพาะ หล่อเลี้ยงเหตุ ทุกวันๆ   ….


 


ว่ากันว่าผู้รู้ทั้งหลายสรรเสริญหนทางมากกว่าปลายทาง  สรรเสริญการเรียนรู้มากกว่าความรู้  ว่าหนทางต่างหากคือพื้นที่แห่งความสำเร็จ  หนทางต่างหากคือการดำรงอยู่  หากปลายทางคือการจบ นั่นใยมิใช่ความตาย... แม่น้ำ เป็นสายน้ำในลำน้ำ  นั่นจึงเป็นวิถีแห่งแม่น้ำ นั่นจึงนับเป็นความสำเร็จ


 


ชาวนาทำนา  เขาอาจจะรู้อยู่แล้วว่าเขาจะได้ข้าว  แต่การจะได้เมล็ดข้าว เขาไม่จำเป็นต้องไปคาดหวังแต่เมล็ดข้าว  แต่วิถีการทำนา คือการเพาะกล้า ดูแลเอาใจใส่ ดูน้ำ ดูนก หนูแมลง เฝ้าดูองค์ประกอบทั้งหมดของการทำนา  และเมื่อถึงเวลา พวกเขาก็จะได้เมล็ดข้าว...เช่นนี้เอง