Skip to main content

เด็กหญิงริมทางรถไฟ


บ้านของเด็กหญิงอยู่ห่างจากทางรถไฟราว 50 เมตร ทุกวันรถไฟจะผ่าหน้าบ้านเธอวันละหลายเที่ยว ทั้งเที่ยวขึ้นและล่อง  เธอมักนั่งมองรถไฟที่ยืดยาวเหมือนตัวกิ้งกือและให้สงสัยว่ารถไฟจะไปถึงไหน   ผู้คนมากมายที่อยู่ข้างในจะเดินทางไปไหนกัน แต่เธอแน่ใจว่าผู้โดยสารเหล่านั้นจะต้องเดินทางไปที่ไหนสักแห่งอย่างแน่นอน



 


โลกของเด็กหญิงนั้นคือหมู่บ้านที่เธออาศัยอยู่ มีท้องทุ่งกว้างให้วิ่งเล่น ห้อมล้อมด้วยพ่อแม่และญาติพี่น้อง  แต่โลกแห่งจินตนาการของเธอกว้างไกลมากและคนอื่นก็อาจจะไม่เข้าใจหากว่าเธอเล่าให้ฟัง เด็กหญิงคิดว่าทางรถไฟกับรถไฟที่ผ่านหน้าบ้านเธออยู่ทุกวันเป็นเหมือนดั่งพาหะที่นำโลกของเธอให้ไปไกลกว่าหมู่บ้านเพื่อสู่โลกแห่งจินตนาการ


 


 "ทางรถไฟก็เหมือนลำคลองท้าหมู่บ้าน" เด็กหญิงคิด พ่อแม่เคยพาเธอไปเล่นน้ำในลำคลองที่อยู่ใกล้กับท้องไร่  "ในตอนนี้เรายังไม่มีทางรู้หรอกว่าทางรถไฟมันเริ่มต้นและสิ้นสุดที่ตรงไหน แต่สักวันเมื่อโตขึ้นเราก็คงจะรู้"


 


บางครั้ง เด็กหญิงก็ออกเดินเล่นไปตามทางรถไฟ  ทางรถไฟทอดยาวออกไปเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด  เธอมองไปตามทางรถไฟ แลเห็นแคบเรียวลง ๆ เรื่อย ๆ แต่เธอรู้ดีทีเดียวว่าทางรถไฟไม่ได้แคบลงอย่างที่เห็นเพราะเธอเคยพิสูจน์ด้วยการเดินไปตามทางรถไฟมาแล้ว


 


แม้ว่าโลกทางกายภาพของเธอจะแคบ แต่โลกแห่งจินตนาการของเธอคือท้องฟ้ากว้างใหญ่ที่รวมเอาหมู่เมฆสีขาวที่ลอยเลื่อนอย่างสบายใจ ดวงดาวที่ช่างเจรจาโดยการกระพริบกระซิบกระซาบต่อกันและกันคืนแล้วคืนเล่าอย่างไม่รู้จักหน่าย  และดวงจันทร์สีสวยเข้าไว้ด้วย  เด็กหญิงคิดว่าสักวันหนึ่งหรอกที่เธอจะออกสำรวจดูว่าโลกนั้นที่แท้แล้วกว้างใหญ่สักเพียงใด


 


เด็กหญิงได้แต่นั่งเล่นอยู่หน้าบ้านเพียงลำพัง   เหม่อมองดูรถไฟในขณะที่เพื่อนคนอื่น ๆ ที่รุ่นราวคราวเดียวกันต่างก็ไปโรงเรียนกันทั้งนั้น ส่วนพ่อกับแม่ของเธอก็ออกไปทำงานในไร่และจะกลับมาตอนเที่ยงเพื่อกินข้าวก่อนจะกลับไปทำงานต่อ


 


บางครั้งเด็กหญิงก็ไปหาย่าที่บ้านในสวน ย่าอยู่เพียงลำพังเพราะปู่ตายไปนานหลายปีแล้วและลูก ๆ ก็ออกเรือนกันไปหมด เธอชอบไปหาย่าเพราะนอกจากในสวนของย่าจะมีผลไม้หลากชนิดแล้ว ย่าชอบเล่าเรื่องราวน่าตื่นเต้นในอดีตให้เธอฟังอีกด้วย


 


เด็กหญิงจะโบกไม้โบกมือให้กับคนที่โผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างรถไฟ หลายคนโบกมือตอบเธออย่างอารมณ์ดี  อันที่จริงเธออยากจะถามว่าพวกเขาจะไปไหนกัน แต่พวกเขาคงไม่ได้ยินเพราะเสียงรถไฟดังเกินไปจนกลบเสียงของเธอหมด  บางคนท่าทางเร่งร้อนราวกับจะรีบไปทำธุระสำคัญ แต่บางคนก็แต่งตัวเหมือนเป็นนักท่องเที่ยว


 


เธอคิดว่าเพียงได้โบกมือทักทายกับคนบนรถไฟที่ผ่านไปมา มันก็เหมือนกับว่าเธอได้พูดคุยและเป็นเพื่อนกับคนบนรถไฟนั้นแล้ว เธอรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ ดังนั้นเด็กหญิงจึงคิดว่าตนเองเป็นคนที่มีเพื่อนมากมายแม้ว่าเธอจะไม่รู้จักชื่อก็ตาม แต่มีอยู่คนหนึ่ง ในเวลาต่อมาที่เธอได้รู้จักชื่อและเธอคิดว่าเป็นเพื่อนที่สนิทสนมของเธอ


 


เด็กชายคนหนึ่งซึ่งโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่าง  ตะโกนทักทายเธอเมื่อเธอโบกมือและยิ้มให้  เขาอยู่ในชุดนักเรียนสีขาวสะอาดเพราะว่าเขากำลังจะไปโรงเรียนนั่นเอง พอตกตอนเย็น ขากลับจากโรงเรียน  เด็กชายคนเดิมก็จะโผล่หน้าออกมาและยิ้มให้เธอ


 


เด็กชายเดินทางไปโรงเรียนโดยรถไฟและมีแม่คอยไปรับไปส่งทุกวันเพราะเขายังเด็กอยู่  และการเดินทางก็อาจจะเป็นอันตราย  บางครั้งเด็กชายก็นั่งหลับบนรถไฟจนเลยบ้านของตนเองไป อันเป็นเหตุให้พ่อแม่ต้องตามหากันจ้าละหวั่น ดังนั้นคุณแม่จึงต้องคอยไปรับไปส่ง และคุณแม่ของเด็กชายก็จะโผล่หน้ามาทักทายเด็กหญิงด้วยเช่นกัน


 


อันที่จริง เด็กหญิงเคยเข้าโรงเรียนเหมือนกัน  แล้วเธอก็ไม่ต้องนั่งรถไฟไปโรงเรียนเหมือนเด็กชายข้างหน้าต่างคนนั้นเพราะโรงเรียนของเธออยู่ใกล้บ้าน เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึง


 


แต่เด็กหญิงจำได้ดีว่าตอนไปโรงเรียนวันแรกนั้น เธอก็ร้องไห้โยเยอยากกลับบ้าน ยิ่งตอนที่พ่อแม่ทิ้งเธอไว้กับครูนั้น เธอรู้สึกกลัวเพราะอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า    อีกทั้งสุนัขตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่ป้วนเปี้ยนอยู่ในโรงเรียนทำให้เธอกลัวมากเหมือนกัน 


 


พ่อกับแม่ก็ตามใจเธอและบอกแก่เธอว่า  "ถ้าลูกไม่อยากไปโรงเรียนพ่อแม่ก็ไม่บังคับหรอก ไว้ปีหน้าลูกก็ค่อยเข้าโรงเรียนก็แล้วกัน"


 


แต่พอเวลาผ่านไป  เด็กหญิงก็กลับต้องการที่จะไปโรงเรียนเพราะที่นั่นมีเพื่อนเล่นมากมาย และเธอจะได้เรียนเรื่องสนุก ๆ ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาก่อน  ได้ฟังนิทานจากคุณครูและได้ดูรูปการ์ตูนสวย ๆ จากหนังสือที่มีอยู่มากมาย เพื่อน ๆ มักมาเล่าให้เธอฟังถึงแต่เรื่องสนุก ๆ และเหตุการณ์ที่น่าสนใจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโรงเรียน


 


พอเด็กหญิงบอกเพื่อน ๆ ไปว่าเธอกลัวสุนัขตัวโตที่โรงเรียน เพื่อน ๆ ก็บอกว่า "หมามันเข้ามาดมเฉย ๆ เพราะนั่นมันเป็นวิธีที่หมาทำความรู้จักกับคน ใคร ๆ ก็รู้ว่าหมาตัวนั้นมันชอบแหย่เด็ก ๆ เล่นโดยเฉพาะเด็กที่มาใหม่ แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่ามันไม่เคยกัดใครเลย ไม่ต้องกลัวมันหรอก ที่จริงมันตลกด้วยซ้ำไป มันชอบนอนนิ่งในท่าประหลาด ๆ"


           


ใครที่นั่งรถไฟผ่านทางเส้นนี้เป็นประจำ จะต้องเห็นเด็กหญิงท่าทางร่าเริงนั่งอยู่หน้าบ้านใต้ต้นหูกวางและโบกมือให้กับผู้ที่ผ่านไปมา จนผู้คนบนรถไฟจะต้องยกมือขึ้นโบกตอบ


 


วันนี้ก็เหมือนวันอื่น ๆ เด็กหญิงตื่นแต่เช้า เมื่อคืนฝนตกหนักมาก สัตว์แปลก ๆ ที่อยู่ใต้ดินบางชนิดก็เลยโผล่ออกมาให้เธอเห็น เธอเก็บใบหูกวางที่สีแดงที่ร่วงมาฉีกเล่นเป็นรูปต่าง ๆ ตามจินตนาการของเธอ บางทีก็เป็นรูปปลา บางทีก็เป็นรูปดวงดาว


 


เด็กหญิงรู้ดีทีเดียวว่าเด็กชายข้างหน้าต่างคนที่เธอเห็นอยู่บ่อย ๆ นั้นจะโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างและโบกมือทักทายเธอในตอนไหน และเธอก็กำลังรอ   


 


ไม่ช้าไม่นานนัก เธอก็ได้ยินเสียงรถไฟที่กำลังเคลื่อนเข้ามา  เด็กชายคนนั้นเยี่ยมหน้าหาเธอมาแต่ไกล เด็กชายยิ้มให้เธอ  โบกไม้โบกมือ เธอยิ้มตอบและโบกมือตอบเช่นกัน เด็กชายตะโกนบอกชื่อตนเองและถามชื่อเธอ เด็กหญิงวิ่งเข้าไปใกล้และร้องบอกชื่อของเธอออกไป.