Skip to main content

เมื่อผมถูก "ผีโรตีบอย" หลอกหลอน

คอลัมน์/ชุมชน

 


 


๒๔ ๑/๖


 


มีท่านใดที่เคยถูกผีตามหลอกหลอนเหมือนผมมั้ยครับ...


 


ในช่วงหลายๆ เดือนที่ผ่านมา ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่าไอ้ผีตนนี้มันมาตามหลอกหลอนผมตลอดเวลา จนผมเกิดอาการประหวั่นพรั่นพรึงในทันทีที่ต้องเจอกับมันอีก


 


ผมเจอมันครั้งแรก...น่าจะเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในขณะที่ผมเดินเอกเขนกอยู่แถวๆ สยามสแควร์ ผมก็พบกับคนจำนวนมากกำลังต่อคิวรออะไรสักอย่างหนึ่ง เมื่อผมเดินตามแถวนั้นไปก็ได้กลิ่นกาแฟฉุนโชยลอยมาตามทาง


 


เมื่อผมเดินตามแถวไปจนถึงต้นสายของแถว ก็พบว่าเป็นร้านขนมปังที่ทั้งร้านขายขนมปังเพียงแบบเดียว ซึ่งขนมปังที่ว่านั้นมีลักษณะเป็นขนมปังก้อนกลมขนาดเท่าหัวเด็กอ่อน ที่มีเนยเค็มๆ ชุ่มภายใน แต่ผิวขนมปังนั้นเคลือบด้วยแป้งกรอบๆ หน้ากาแฟ


 


 


ภาพคนต่อคิวซื้อโรตีบอย ในคืนที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมหน้าสยามพารากอน


 


ขนมปังที่ว่านั้นเขาบอกว่าชื่อ "ร็อตตี้บอย" (Roti Boy) แต่เรามักจะเรียกว่า "โรตีบอย" ตามความสะดวกปาก


 


ผมชิมเจ้าขนมปังชิ้นนั้น พร้อมกับความรู้สึกว่ามันก็อร่อยดี โดยที่ผมไม่รู้ล่วงหน้าว่า มันจะนำมาซึ่งความหลอกหลอนในอีกไม่นาน...


 


หลังจากนั้นผมพบว่ามีคนพูดถึงขนมปังพรรค์นี้มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้แถวที่ต่อหน้าร้านนั้นยาวขึ้นเรื่อยๆ (มากที่สุดที่ผมเคยเจอนั้น ทำให้ผมใช้เวลาในการต่อคิวนานถึง ๑ ชั่วโมง...จนเรียกได้ว่ามันคือการบำเพ็ญ "ทุกรกิริยา" อย่างหนึ่งJ) และผมยังพบว่ามีคนนำเจ้าขนมปังที่ว่ามาเร่ขายนอกแถวในราคาที่แพงขึ้น (คาดว่าเป็นวิธีที่มีวิวัฒนาการมาจากการขายตั๋วผีหน้าโรงหนังสมัยก่อน) และบางครั้ง เวลาที่ผมขึ้นรถเมล์จากแถวสยาม ก็จะเห็นคนถือถุงขนมปังแบบนี้เดินขึ้นรถเมล์มาด้วย (รถเมล์ปรับอากาศ รถส่วนตัว หรือรถอะไรก็ตามที่มีลักษณะปิดมิดชิด มีสรรพคุณสามารถแปลงกลิ่นกาแฟหอมๆ ให้กลายเป็นกลิ่นเหม็นฉุนได้อย่างอัศจรรย์)


 


ไม่เพียงแต่เท่านั้น เมื่อคราใดที่ผมไม่ได้ไปแถวๆ สยาม ผมก็พบว่าเจ้าขนมปังแบบนี้ก็ยังคงตามหลอกหลอนผมอยู่ในชื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Mister Bun, Papa Roti, Roti Mum, Baker’s Bun, Coffee Bun, Roti Girl, Roti Doi และอีกสารพัด Roti และอีกสารพัด Bun ที่ผมอาจจะยังไม่เคยได้ยิน (แต่ผมว่ามันต้องมีอีกหลายอันที่ผมยังไม่เคยเห็นแน่ๆ...)


 


แม้กระทั่งเวลาที่ผมเดินเข้าไปในเซเว่น – อีเลฟเว่น ก็ยังได้เจอเจ้าขนมปังแบบนี้อีก...


 


มันตามหลอกหลอนผมไปทุกที่...


 


มันสร้างอาการ "หลอน" ในผมจนผมรู้สึกว่าการมองเห็นไอ้ขนมปังแบบนี้เป็น "มลพิษทางสายตา" อย่างรุนแรง


 


แต่เมื่อมานั่งคิดดูจริงๆ มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมถูกผีหลอกแบบนี้ เพียงแต่ว่าบรรดาผีที่ผมเคยเจอนั้นมันไม่ได้มาเป็นขนมปังกลมๆ แบบนี้


 


สมัยผมเรียนมัธยมปลาย ผีที่ผมเคยเจอเป็นตู้ขนาดใหญ่ ที่ในตู้นั้นมีจอและกล้องคอมพิวเตอร์ ที่มักจะมีคนเข้าไป "แอ็ค" ท่าหน้าไอ้ตู้นี้อยู่เกือบตลอดเวลา (หลังๆ ก่อนที่ผีพวกนี้จะหายไป บรรดาท่าแอ็คก็มีการพัฒนามากขึ้น เป็น 8 แอ็ด 16 แอ็ค 32 แอ็ค...ใครเคยเจอจำนวนแอ็คที่มากกว่านี้ ก็ช่วยบอกกันด้วยนะครับ) โดยมีสติกเกอร์ขนาดเท่านิ้วโป้งเป็นค่าตอบแทนในการไป "แอ็ค" หน้าตู้


 


ในเวลาใกล้เคียงกัน ผมก็พบกับผีอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นผีเครื่องดื่มเย็นหลากชนิด (แต่ส่วนใหญ่จะเป็นชา) ที่มีเม็ดสาคูสีดำๆ นอนสงบนิ่งอยู่ในก้นแก้ว (บางที่จะมี Option พิเศษให้เลือกเป็นคัสตาร์ดนิ่มๆ ซึ่งผมว่ามันอร่อยกว่าสาคูพรรค์นั้นอีกอ่ะ) ตอนแรกๆ ผมก็พบมันมาเป็นแก้วพลาสติกธรรมดาๆ แต่ไปๆ มาๆ มันก็พัฒนาสายพันธุ์เป็นแก้วที่มีลักษณะลูกผสมระหว่างแก้วน้ำ + คทาดรัมเมเยอร์ + ดัมเบลยกน้ำหนัก ให้คนได้ถือกันเกร่อไปหมด


 


แต่ไอ้ผีทั้งสองตัวที่พูดไปนั้น มันก็มีช่วงอายุรุ่งเรืองของมัน และเมื่อเวลานั้นผ่านไป ผีเหล่านี้จากไปด้วยเช่นกัน (ปัจจุบันนี้เรายังเห็นร้านชาไข่มุกประมาณ 2-3 ร้านในสยามฯ ในขณะที่ตู้สติกเกอร์นั้นคงสูญพันธุ์ไปหมดแล้วละกระมัง)  เหมือนกับคำแสลง, แฟชั่นต่างๆ อีกนับร้อยนับพันที่มันอยู่ในความนิยมเพียงชั่วคราว แต่เมื่อผ่านไปนานวันเข้า บางสิ่งก็คงอยู่เป็นเพียงของปกติ แต่บางสิ่งก็หายไป...


 


พูดแล้วก็นึกขำ เวลาที่ผู้ใหญ่แก่ๆ บางคนออกมาบ่นถึงแฟชั่นวัยรุ่นและคำแสลง ว่ามันมีอันตรายถึงขั้นจะทำลายวัฒนธรรมไทย อยากจะถามว่าพวกเขาก็อยู่มานานแล้ว ไม่รู้เลยหรือว่าของพวกนี้ ถ้ามันไม่ใช่ของที่เหมาะสมจริงๆ อีกสักพักมันก็ผ่านไปเอง


 


ไม่จำเป็นต้องจัดระเบียบอะไรหนักหนาหรอกน่า แค่คอยดูอยู่ห่างๆ ก็น่าจะพอ...


 


@#@#@#@#@


 


วันนี้ผมเดินผ่านสยามอีกครั้ง


 


ร้านโรตีบอยที่คนเคยต่อคิวกับแบบนรกแตกนั้น ในวันนี้...ผมสามารถเดินไปซื้อได้ทันทีโดยไม่ต้องต่อแถวแล้ว ผมเลยลองเข้าไปซื้อกินสักก้อน


 


ผมพบว่ามันไม่ได้อร่อยมากหรือน้อยกว่าวันที่ผมต้องรอคิว ๑ ชั่วโมงเลย


 


ผมเดินไปเรื่อย ทำโน่นทำนี่จนเย็น ไอ้ขนมปังพรรค์นั้นก็ย่อยในกระเพาะ จนหมดแล้ว ซึ่งก็บังเอิญกับที่ผมเดินผ่านไปแถวๆ สามย่านพอดิบพอดี


 


ที่นั่นมีโรตีทอดอร่อยๆ อยู่เจ้าหนึ่ง ซึ่งผมเจอมันตอนที่ท้องผมเรียกร้องหาอะไรใส่เข้าไปในนั้นพอดี ผมจึงซื้อโรตีไม่ใส่ไข่มาแผ่นหนึ่ง


 


ผมแกะกระดาษห่อโรตี สลับกับการค่อยๆ แทะโรตีทีละนิด พลางคิดว่าก่อนที่ "โรตีบัง" จะกลายเป็นอาหารข้างทางแบบนี้ มันอาจจะเคยสร้างปรากฏการณ์แบบโรตีบอยมาแล้วก็ได้


 


หรือไม่อย่างนั้น ถ้ามันไม่เคยเกิดขึ้น...แล้วถ้าวันหนึ่ง "โรตีบัง" เกิดมีคนต่อคิวซื้อกันมโหฬารขนาดนั้น...คงสนุกดีพิลึก J