ฉบับที่ 3 วัฒนธรรมความกลัว
คอลัมน์/ชุมชน
สวัสดีพ่อหนุ่ม
"ผมเสียใจมากที่ผมเปิดประตูรถออกไปช่วยไม่ทัน อะไรมันจะขนาดนั้น คนไม่มีทางสู้นะคุณ อายุปาเข้าไปตั้ง 60 ยังต้องทนปั่น สามล้อรับจ้างน่าอนาถ" เสียงถอนหายใจหนักๆ อย่างเอือมระอา สลับออกมา "ไอ้คนไร้จิตสำนึก ... เปิดประตูรถเก๋งออกมาชกคนแก่ซะหงายคว่ำ เพราะว่าสามล้อคันเก่าบังเอิญไปชนท้ายรถแก ... สัตว์ป่าชัดๆ"
เรื่องเล่าอันเจ็บแค้นของอาจารย์หนุ่มใหญ่ท่านหนึ่งที่เพิ่งประสบมาหมาดๆ เกี่ยวกับมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันเอง อารมณ์ของแกดูจะหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะที่บอกว่าลงไปช่วยไม่ทัน เหมือนกับการปล่อยให้ภาพการทารุณกรรมจงใจบังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา หากแต่เมื่อยื่นมือเข้าไป กลับปรากฏมีพันธนาการรั้งไว้ แม้เมื่อคลายออกพ้นแล้ว โศกนาฏกรรมดังกล่าวก็พลันจบลง ทิ้งไว้แต่เพียงความเจ็บปวดของชายแก่
การแลกเปลี่ยนเรื่องราวของผมกับอาจารย์ท่านนี้ดูจะมีรสชาติมากขึ้น เมื่อเรื่องราวที่ผมได้เคยเผชิญ ก็มีทำนองเดียวกัน เพียงแต่โศกนาฏกรรมของผม ไม่ใช่คนแก่หัวหงอกอายุ 60 ปั่นสามล้อ แต่เป็นคนบ้าคนหนึ่ง ที่คลั่งไคล้มอเตอร์ไซค์เป็นชีวิตจิตใจ แกจึงเพียรพยายามไปขอกรอบรถเก่า ๆ ที่ไม่ใช้แล้วตามอู่ แล้วบรรจงประกอบเข้ากับจักรยานคันโทรม (หรือจะเรียกว่ามัด) โดยมีบังโคลนมอเตอร์ไซค์ทั้งหน้าหลัง กรอบไฟหน้า และแฮนด์รถครบทั้งสองข้าง
ไม่ทันที่ชายหนุ่มนักฝันจะควบเจ้าเพื่อนยากให้ทั่วแดน ก็บังเอิญชนเข้ากับประตูรถเก๋งคันงามราคาเกินล้าน ที่เปิดประตูสวนออกมา เปลือกทั้งหลายที่หุ้มอยู่นั้นต่างแตกกระจายออก แถมด้วยแผลที่ถลอกปอกเปิกตามหัวเข่าและข้อศอก จากการไถลไปตามพื้นถนนคอนกรีต มันเป็นภาพที่ชวนสังเวชเป็นอย่างยิ่งภาพหนึ่ง ยิ่งอาการของหนุ่มสติไม่สมประกอบที่ไม่ได้สนใจกับความเจ็บปวดแม้แต่น้อย กลับรีบคลานมาประกอบรถคู่ใจทันที แต่เจ้าของรถไม่ได้คิดเหมือนผม รอยถลอกของประตู กลับบันดาลโทสะแกในบัดดล จึงได้กรากเข้าไปคว้าคอเสื้อยืดที่ขาดวิ่น (อยู่แล้ว) ของชายหนุ่ม แล้วตะบันหมัดหนักๆ เข้าไปในทันที ภาพดังกล่าวนับว่าสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่งแก่ผู้ที่พบเห็น ก่อนที่จะกลับเข้าไปในรถ แกก็ได้ระเบิดโทสะอีกครั้งด้วยการกระทืบทั้งรถทั้งคนให้หายแค้นอีกครั้งก่อนจาก ทิ้งไว้แต่เพียงชายหนุ่มที่เลือดกลบปาก รถจักรยานที่บิดเบี้ยว และความห่วงหาที่มากยิ่งกว่าความเจ็บปวด
ผมก็เช่นกัน ที่ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จากมหรสพอันโศกเศร้าในครั้งนี้ได้ เนื่องจากเป็นเพียงผู้โดยสารคนหนึ่งที่นั่งด้านหลังในรถตู้ แต่เคยพบเห็นชายหนุ่มคนนี้มาก่อน ความรู้สึกต่อเหตุการณ์ดังกล่าวจึงเสมือนเพลิงที่คุโชนด้วยแรงแห่งมโนธรรมและจิตสำนึกอย่างโชติช่วง ความสงสารและอึดอัดระคนปนกัน ซึ่งคงเป็นอารมณ์ที่ไม่ต่างกับอาจารย์ท่านนี้ นักแสดงทั้งสองคน ต่างเรียกได้ว่าสภาพของการช่วยเหลือตนเองนั้นมีอยู่น้อยมาก ชายชราผู้ปั่นสามล้อเพื่อหาเช้ากินค่ำ ผู้ซึ่งตระหนักดีอยู่แล้วถึงความแตกต่างกันระหว่างสามล้อคู่ชีพกับรถเก๋งคู่บารมี หรือชายหนุ่มสติไม่สมประกอบ แต่ไม่เคยเป็นพิษเป็นภัยกับผู้ใด รายได้หลักก็คือเก็บขยะไปขาย ทั้งสองตกเป็นผลแห่งคำพิพากษาของอุบัติเหตุ เหตุการณ์ที่ไร้ซึ่งจิตสำนึกเข้ากำกับ จึงพลันปลดปล่อยสัตว์ป่าหลุดออกมากระชากเนื้อทั้งสองอย่างไร้ความปราณี
แล้วผู้คนรอบข้างที่กำลังมุงดูอยู่ล่ะ
เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่มีเพียงผมหรืออาจารย์เท่านั้นที่เห็นเหตุการณ์ อย่างน้อยที่สุด เหตุการณ์ชายหนุ่มนักฝันนั้น มีผู้คนที่มองเห็นมีมากมาย ทั้งยามที่ยืนหน้าประตู และผู้ที่ตั้งใจปักหลักยืนดู หรือแม้กระทั่งฝูงชนที่เดินผ่านไปผ่านมา แต่ไม่มีใครสักคนในจำนวนนั้นที่จะออกมาช่วยเหลือหรือห้ามปรามเหตุการณ์ดังกล่าว เหตุการณ์สะเทือนขวัญที่กำลังเกิดขึ้นและกระทบต่อความรู้สึกหลายๆ คน กำลังท้าทายให้ผู้คนเหล่านั้นเผชิญกับวัฒนธรรมความกลัว
ตัวอย่างของโศกนาฏกรรมต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาในสังคม และปราศจากการหยิบยื่นไมตรีจากผู้คนในรอบข้าง จนทำให้เกิดความสูญเสียต่างๆ ตามมา เช่นในอดีต ข่าวที่เคยเผยแพร่ตามสื่อเมื่อหลายปีก่อน กรณีของกลุ่มวัยรุ่นที่แทงกันตายบนรถโดยสารประจำทางที่มีผู้คนโดยสารอยู่เนืองแน่น หรือเหตุการณ์ที่กลุ่มวัยรุ่นฉุดคร่าหญิงสาวมาข่มขืน ในขณะที่คนในครอบครัวข้างบ้านแถวนั้นกำลังนั่งดูโทรทัศน์อย่างสบายใจ เรื่องราวเหล่านี้เสมือนเป็นประวัติศาสตร์ที่ย้อนมาให้รำลึกอยู่เสมอ แม้เหตุการณ์ของผมกับอาจารย์ท่านนี้ด้วยก็เช่นกัน ต่างก็พยายามช่วยเหลือ แต่ด้วยพันธนาการต่างๆ ที่ผูกมัดอยู่จึงไม่สามารถช่วยไว้ได้ทัน
แต่สำหรับผู้คนรอบข้างล่ะ พวกเขาเห็นเป็นอย่างไร เขาเหล่านั้นทำอย่างไรเมื่อพบเห็นการณ์ดังกล่าว ผู้คนบนรถโดยสารพากันหลับหมดแล้วหรือ จึงไม่ทันได้เห็นคมมีดปลิดวิญญาณว่ากำลังจะสังหารใคร
เจ้าของบ้านหลังนั้นคงกำลังมีความสุขกับละครโทรทัศน์เรื่องโปรดโดยมีเสียงคนโหยหวนขอความช่วยเหลือเข้ามาประกอบ
ทุกคนวางตัวเฉยเมย เพราะต่างก็เพียงแต่ระวัง ระวังว่าอย่าให้ถึงคราวตัวเองเท่านั้น!
ฝูงชนเหล่านั้นต่างตระหนักดีถึงสภาพของมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน แต่เพราะความเป็น "คนอื่น" จึงทำให้เกิดความกลัว วัฒนธรรมความกลัวนี้ไม่หมายแต่เพียงความหวาดกลัวให้ต้องวิ่งหนีเท่านั้น แต่เป็นความกลัวที่มีต่อสภาวะเบื้องหน้าและเบื้องหลัง วัฒนธรรมความกลัวในปัจจุบันได้ขยายพื้นที่ครอบคลุมสังคมได้กว้างไกลมากเท่ากับการแผ่ขยายของระบบทุนนิยมเลยทีเดียว ทุกคนต่างตระหนักดีถึงความกลัว แม้แต่การเอื้อมมือเข้าไปช่วย ตนเองก็เกิดอาการกลัว ไม่รู้ว่าจะช่วยได้หรือไม่ได้? จะช่วยอย่างไร? เข้าไปห้ามปราม? ด่าทอและตักเตือน? จนถึงขนาดต้องใช้กำลังหากยังรั้นที่จะทำร้าย?
มนุษย์กลัวความเรื่องมาก กลัวว่าหากเข้าไปยุ่งก็จะเหมือนกับขว้างงูไม่พ้นคอ ความวุ่นวายต่างๆ ก็จะตามมา เสียเวลาทำมาหากิน ธุรกิจที่กำลังฟื้น งานเอกสารบนโต๊ะ หรือแม้กระทั่งธุระเรื่องธนาคาร ล้วนแต่สำคัญกว่าชีวิตมนุษย์ที่ตนไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งสิ้น
วัฒนธรรมความกลัวยังกระชากความคิดของผู้คนออกมาจากการยืนเป็นพยานชี้ตัว หากว่าตนเองเป็นผู้แจ้งความและเรื่องต้องขึ้นโรงขึ้นศาล
มนุษย์กลัวอันตรายที่ตนเองจะได้รับหากเข้าไปพัวพันกับเรื่องคนอื่น อาจต้องเจ็บตัวหากเจ้าของรถคันหรูเป็นเจ้าพ่อมาเฟีย วัยรุ่นที่พกมีดและข่มขืนเหล่านั้นอาจเป็นลูกผู้มีอิทธิพลก็ได้ จึงได้แต่คิดว่าประเดี๋ยวก็จบเอง ไม่ถึงตาย
ความสัมพันธ์แบบทุนนิยมของคนในปัจจุบัน รั้นแต่จะผูกเงื่อนไขให้คนหวังแต่ผลกำไรหรือขาดทุนเมื่อมีการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ดังนั้น วัฒนธรรมความกลัวจึงสามารถครอบงำจิตใจได้โดยง่าย ผู้คนหลงลืมพื้นฐานแห่งความเป็นมนุษย์ด้วยกัน ปล่อยให้เพื่อนมนุษย์ที่ถูกกระทำเบื้องหน้ามีสถานะไม่ต่างอะไรกับสิ่งไม่มีชีวิต แล้วเหตุการณ์เหล่านี้เมื่อไหร่จะหมดไปจากสังคมไทยเสียที ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคนในสังคมยังมีผู้ต้องการอยู่เสมอ เรื่องของจริยธรรมไม่ได้กลายเป็นตำราเก่าเก็บลงกรุเลยทีเดียว ไม่เช่นนั้นเราก็จะได้เห็นสัตว์ป่าออกมาเดินเพ่นพ่านทั่วไป
เมื่อหันมามองมนุษย์อย่างเป็นมนุษย์ เลือดที่กลบปากสีแดงฉานของใครคนหนึ่งน่าจะทำให้เราสะเทือนใจด้วยความสงสาร และผลักดันให้เกิดความกล้า และไม่รีรอที่จะให้ความช่วยเหลือกับความทารุณที่เกิดขึ้นในเบื้องหน้า
สังคมที่ไร้ซึ่งสัตว์ป่า คือสังคมที่มีคนกล้า กลบซึ่งความกลัว
ชนกเนตร หลังสนทนากับ อ. อรรถจักร สัตยานุรักษ์
บ้านพอใจ