Skip to main content

อาจเพราะ "บรรยากาศ" เป็นใจ

คอลัมน์/ชุมชน

ช่วงตลอดระยะสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมพยายามตั้งสติและใช้เวลานิ่งอยู่กับตัวเอง เพื่อคิดเรื่องราวที่จะเขียนลงใน "หนุ่มสาวสมัยนี้" แต่ไม่ว่าจะนั่งฟังเพลงก็แล้ว นั่งทำสมาธิเงียบๆ ก็แล้ว หาข่าวตามหนังสือพิมพ์มาอ่านก็แล้ว กลับคิดอะไรไม่ออก มิหนำซ้ำยังฟุ้งซ่านคิดเรื่อยเปื่อยมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก


 


โดยส่วนตัวแล้ว ก่อนที่จะเขียนอะไรแต่ละอย่าง ก็ต้องพยายามที่จะหา "บรรยากาศ" ที่เอื้อต่อการให้สมองและสติปัญญาอันน้อยนิดของตัวเอง สามารถที่จะคิดและสร้างสรรค์งานเขียน (แบบเด็กๆ) ออกมา


 


ความพยายามของผมที่จะหาเทคนิคให้ตัวเองได้คิดงานออก ก็มีหลายวิธีการ แต่ก็อย่างที่เกริ่นไว้ว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา คิดอะไรก็คิดไม่ออก หรือบางที พอคิดออก ก็คิดเตลิดเปิดเปิง นึกๆ ดูแล้วก็เกิดอาการ "คิดหนัก" เหมือนกัน


 


แต่แล้ว, วันหนึ่งที่ผมกำลังยืนกอดอกอยู่ลานกว้างของบ้านแล้วมองไปบนท้องฟ้า และในที่สุดเวลาที่ความคิดของผมที่จะเขียนบทความก็ค่อยๆ แล่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อก้อนเมฆเริ่มตั้งเคล้าด้วยไอน้ำที่ก่อตัวกัน ก่อนที่จะโปรยปรายมายังผืนดินเป็นสายฝน  ทันทีที่เม็ดฝนเริ่มตกลงจากฟ้ามาสู่เบื้องล่าง ผมตัดสินใจวิ่งออกไปที่ลานกว้างข้างๆ วิ่งฝ่ากลางสายฝนวนไปวนมาอยู่หลายรอบ


 


อย่าเพิ่งคิดว่าผมบ้านะครับ แต่ว่า "บรรยากาศ" แบบนี้, บรรยากาศที่วิ่งตากฝน เหมือนตอนที่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ มันเริ่มหายไป จนตัวเราเองจำไม่ได้ว่าถ้าทำแบบนี้แล้วจะเป็นอย่างไร ดังนั้นเมื่อบรรยากาศที่ฝนตกลงมานี้ จึงเป็นอีกจังหวะและโอกาสหนึ่งของตัวเองที่จะสัมผัสกับบรรยากาศเก่าๆ


 


การวิ่งตากสายฝนและกางแขนออกให้กว้าง อาจดูเหมือนคนไม่เติมเต็ง (- -‘)   แต่อย่างน้อยการทำแบบนี้ก็ช่วยให้จิตใจได้ปลดปล่อยบางสิ่งบางอย่างออกมา ซึ่งผมคิดว่าการทำแบบนี้ถือเป็นการบำบัดจิตใจด้วยธรรมชาติอย่างหนึ่ง -  เมื่อสายฝนตกลงมา จะเป็น "บรรยากาศ" ที่ทำให้ได้ปลดปล่อยตัวเองได้เป็นอย่างดี


 


"บรรยากาศ" จึงเป็นส่วนสำคัญในการบำบัดจิตใจ และยังเป็น "เงื่อนไข" สำคัญต่อการดำเนินชีวิตหรือการเรียนรู้ในเรื่องต่างๆ เช่น บรรยากาศในห้องเรียนที่ควรเอื้อต่อการเรียนโดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง, บรรยากาศของครอบครัวที่มีความเข้าใจกันซึ่งจะทำให้อบอุ่น, บรรยากาศของสังคมที่ควรมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ, บรรยากาศทางการเมืองที่ผู้นำควรมีความรับผิดชอบและมีต่อมจริยธรรมเพื่อให้ลดความขัดแย้งต่างๆ เป็นต้น


 


อาจกล่าวได้ว่า "บรรยากาศ" หนึ่ง ย่อมส่งผลต่อ "ผลอย่างหนึ่ง"


สำหรับตัวผม ที่เคยกล่าวไว้ว่า การเรียนคืออุปสรรคของการทำกิจกรรมนั้น เพราะตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นม. ๒ "บรรยากาศ" ชีวิตของผมก็เริ่มเติมเต็มด้วยความฝัน และความทะเยอทะยานที่อยากทำกิจกรรมเพื่อสังคม ดังนั้นตั้งแต่ ม.๒ เป็นต้นมา ผมจึงคลุกคลีอยู่กับการทำกิจกรรมเพื่อสังคมในรูปแบบกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดค่ายกิจกรรม การอบรมให้ความรู้ การแสดงละครตามตลาดสด เพื่อรณรงค์การปกป้องคุ้มครองสิทธิเด็กและลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวีเอดส์ในชุมชน


 


จนถึงวันนี้ "บรรยากาศ" ตลอด ๗ ปีที่ผ่านมาที่สภาพแวดล้อมของชีวิตเต็มไปด้วยการทำกิจกรรมเพื่อสังคม และจากบรรยากาศต่างๆ นั้น ก็ทำให้เริ่มรู้สึกว่า "บรรยากาศ" แบบนี้แหละที่ทำให้ตัวผมได้มี "ที่ทาง" และ รู้จัก "ตัวตน" ของตัวเอง ต่างกับในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาที่พาตัวเราไปสู่เบ้าหลอมของระบบการแข่งขัน การชิงดีชิงเด่น หรือแม้แต่ต้องคิดหนักเมื่อจะต้องเรียนต่อหรือเรียนจบแล้วต้องหางานทำ สุดท้ายชีวิตเราก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของระบบตลาดซึ่งถูกผลิตผ่านกระบวนการเรียนการสอนเพื่อตอบสนองตลาดแรงงาน


 


นอกจากนี้แล้วการทำกิจกรรมเพื่อสังคมยังทำให้ตัวผมได้เข้าใจ "ราก" ของปัญหา ได้เห็นถึง "ความ เหลื่อมล้ำ" ของสังคม รวมถึงมองเห็นความสัมพันธ์ของตัวเองกับสังคมที่ไม่แยกขาดออกจากกัน ทั้งนี้การทำกิจกรรมเพื่อสังคมนั้นได้ช่วยให้เรารู้จักคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจในการดำเนินชีวิตโดยพื้นฐานของความรับผิดชอบและเคารพสิทธิของตัวเองและผู้อื่น


 


การที่ผมมองว่าการเรียนเป็นปัญหาของการทำกิจกรรม เพราะผมมี "ความคิด" ว่าการเรียนไม่ได้ตอบสนองให้เราได้เข้าใจสังคม เข้าใจชีวิต หรือบางวิชาก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้ในชีวิตจริง และจาก "ความคิด" ที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะ "บรรยากาศ" ของโรงเรียนไม่เอื้อให้เกิด "ความคิด" เช่นนี้ แต่กลับเป็น "บรรยากาศ" ของการทำกิจกรรมเพื่อสังคมเสียมากกว่า ดังนั้น ผมจึงคิดว่าการเรียนนั่นแหละคืออุปสรรคของการทำกิจกรรมเพื่อสังคม


 


อย่างไรก็ตาม หลายคนที่สามารถแบ่งเวลาระหว่างการเรียนและการทำกิจกรรมเพื่อสังคมได้ก็ถือว่าสามารถจัดการกับระดับความสัมพันธ์ของทั้งสองอย่างได้เป็นอย่างดี การทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไปก็เป็นสิ่งที่จำเป็นไม่น้อยสำหรับนักกิจกรรมเพื่อสังคมที่เราต่างอยู่ภายใต้กรอบของสังคมที่คนยังยอมรับใบปริญญาหรือวุฒิการศึกษา


 


ขณะเดียวกัน ปัญหาของการเรียนในระบบที่ยังมีอยู่นั้น ก็คงจะเป็นสิ่งที่เราทุกคนในสังคมต้องช่วยกันแก้ แต่ถึงอย่างไร การเรียน "นอกระบบโรงเรียน" ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อย ที่ต้องมีพื้นที่รองรับสำหรับวัยรุ่นที่เข้าไม่ถึงการศึกษาในระบบ หรือวัยรุ่นที่ "ปฏิเสธ" การเรียนในระบบโรงเรียน ที่อยากให้ "บรรยากาศ" ของชีวิตมีคุณค่าและความหมายผ่านการทำกิจกรรมเพื่อสังคมมากกว่า


 


"บรรยากาศ" จะเป็นใจกับใครก็เป็นเรื่องที่ปัจเจกบุคคลนั้นมีสิทธิที่จะเลือกและรับผิดชอบ แต่สำหรับผมบรรยากาศที่ได้ทำงานเพื่อสังคมอย่างที่เป็นอยู่นี้ ก็ถือว่าเป็นคำตอบของชีวิตที่ตัวเองได้เลือกและรับผิดชอบด้วยความสุข ในสิ่งที่ดำเนินมาและจะเป็นไป