Skip to main content

นั่นเขาล่ะ ... นักศึกษาคนหนึ่ง

คอลัมน์/ชุมชน

ชัยเนตร    ชนกคุณ


 


มีชายหนุ่มอยู่คนหนึ่ง ที่ผมใคร่จะแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จัก  อายุประมาณ 22 ย่าง 23 รูปร่างขนาดมาตรฐานชายไทยทั่วไป  ผิวสีแทน  ผมยาวรุงรังเหมือนไม่เคยถูกหวีกำราบมาก่อนเลยในชีวิต  เสื้อยืดสีทึบยับยู่ยี่กับกางเกงยีนส์ขาดวิ่น คล้ายกำลังรอคอยผู้มีจิตศรัทธามาบริจาคตัวใหม่ รองเท้าหนังสีน้ำตาลคู่เก่า  สะพายย่ามใบหม่นเปื้อนฝุ่นตลอดเวลาที่ไปไหนมาไหน 


 


เคยมีคนสนใจอยากรู้เกี่ยวกับของที่อยู่ข้างในย่ามอยู่เหมือนกัน  แต่ก็ยากยิ่งนัก  เพราะชายหนุ่มคนนี้หวงแหนราวกับเป็นทรัพย์สมบัติอันสูงค่า  เคยมีบางคนที่เคยพูดคุยกับเขาให้ความกระจ่างว่าข้างในนั้นส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์เตรียมก่อการร้ายภายในมหาวิทยาลัย  ถ้าหากวันใดวันหนึ่งเขาเกิดรู้สึกไม่พอใจนโยบายหรือเหม็นขี้หน้าผู้บริหารบางคนเอามากๆ – แต่นั่นก็เพียงเสียงซุบซิบ


 


สิ่งต่างๆ เหล่านี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่พบเห็นได้ทั่วไปในรั้วของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ซึ่งผู้คนทั่วไปไม่ค่อยอยากสนใจนัก  แม้กระทั่งชื่อของเขาเองก็ตาม  อาจไม่อยู่ในบัญชีความทรงจำของใครหลาย ๆ คน  กระทั่งอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาเองยังลืมไปแล้วว่าเคยมีนักศึกษาคนนี้อยู่ในความดูแลของท่าน  แต่เรื่องราวที่ผมอยากนำเสนอคือ  ชายหนุ่มคนนี้  มีรูปแบบการใช้ชีวิตในแต่ละวันที่แปลกและแตกต่างกับหนุ่มสาวทั่วๆ ไป


 


มีบางคนอาจเคยเห็นเขาแล้วก็ได้  หนุ่มสาวขึ้นรถรางอาจเคยเห็นชายผู้นี้เดินอ้อยอิ่งอยู่ตามข้างทางทั่วไป  ผู้คนที่ชื่นชอบบรรยากาศของอ่างแก้ว  อาจเคยเห็นเขานั่งอยู่ท่ามกลางผืนหญ้าบริเวณขอบอ่าง  หนอนหนังสือบางคนอาจเคยเจอเขาเป็นประจำที่มุมอ่านหนังสือบนชั้นสอง  และยามตรวจประตูเข้าออกเกือบทุกรุ่น  อาจเคยเห็นเขาเดินเข้าออกด้วยความรู้สึกไม่ไว้วางใจ 


 


แต่จะมีใครรู้จักเขาบ้าง  ภาพชีวิตของเขาอาจเป็นเพียงส่วนประกอบของทิวทัศน์ข้างทางในภาพชีวิตของใครต่อใครอีกหลายๆ คน เขามักเดินไปทั่วมหาวิทยาลัยเสมอเมื่อยามว่าง  เดินด้วยเท้าเปล่า  เดินเอื่อยๆ เชื่องช้า ไปเรื่อยๆ  ตั้งแต่ประตูหน้ามอไปจนถึงหลังมอ  และบางครั้งก็ตั้งแต่ประตูปั๊มน้ำมันไปจนถึงวัดฝายหิน  …ถ้าเกิดวันไหนเขาอารมณ์ดี


 


เขาไม่มีเงินพกติดตัวแม้แต่บาทเดียว  จะเป็นไปได้อย่างไรสำหรับกระแสชีวิตท่ามกลางทุนนิยมและนิยมวัตถุของหนุ่มสาวสมัยนี้  ไม่ใช่รักความสมถะแต่ประการใด  เพียงแต่เขาไม่มีเงินที่จะติดตัวและเป็นจริงตามสารรูปที่มองเห็น 


 


อาหารการกินของเขาคือการแลกเปลี่ยนกับแรงงานในร้านอาหารคณะมนุษย์ฯ เพื่อแลกกับข้าวเที่ยง (ที่หมายรวมถึงมื้อเช้าด้วย) และจะแวะกลับมาช่วยเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือทำอาหารในวันรุ่งขึ้น  แลกกับห่อข้าวมื้อเย็น  ผมเคยสงสัยถามเขาอยู่เหมือนกันว่า  ทำไมไม่หางานพิเศษทำเพื่อจะได้มีเงินซื้อนั่นซื้อนี่เหมือนคนอื่น  แต่เขาจะตอบกลับมาพร้อมด้วยสีหน้าและน้ำเสียงอันเป็นปกติเสมอว่า


 


 "แค่นี้ก็พอแล้ว  ไม่เห็นลำบากอะไรเลย  กำลังดี ... กินง่าย  อยู่ง่าย  ตายยาก"


 


คำตอบของเขาอาจพอทำให้คลายความคับข้องใจไปได้บ้าง  แต่เรื่องค่าเทอมแต่ละครั้งนั่นต่างหากที่ยังคงเป็นปริศนา


 


ความแตกต่างอีกประการที่ผมสังเกตจากชายผู้นี้ก็คือ  เรื่องสายข้อมือจำนวนมากที่ผูกรอบข้อมือด้านซ้ายของเขา  เป็นสายสร้อยที่มีลวดลายแปลกชนิดกัน  แต่ละเส้นก็มักทำจากวัสดุต่างๆ กันแต่ที่เหมือนกันก็คือ  ความซีดของสายสร้อย  เนื่องจากเขาไม่เคยถอดออกจากข้อมือเลย  แม้เวลาอาบน้ำ  เขาบอกผมว่า เป็นของที่มีคนเอามาให้กับเขาเพื่อเก็บรักษากับตัวตลอดไป  สายข้อมือจะหลุดร่วงได้ก็ต่อเมื่อหมดอายุขัยของมันนั่นเอง ... เขาตีความเอาอย่างนี้


 


ในยามค่ำคืน   จะพบเห็นรอยยิ้มที่ซ่อนอยู่ในตัวของเขาออกมาเริงร่ากับราตรีได้อย่างไม่หมดสิ้น โดยเฉพาะวงเหล้า จะมีเขาเป็นตัวชูโรงเลยทีเดียว เหมือนเขาจะเปลี่ยนเป็นคนละคนยามที่เสียงหัวเราะก้องกังวาน  ดูเป็นคนมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที และใครจะรู้บ้างว่าเสียงร้องท่วงทำนองเพื่อชีวิตของเขาจะหวานซึ้งจับใจพอๆ กับเสียงบรรเลงกีตาร์คลาสสิกตัวเก่าของเขาจะน่าฟังถึงเพียงนี้


 


หากถามถึงที่หลับที่นอนของเขานั้น  ก็มักได้คำตอบที่ค่อนข้างคลุมเครืออีกเช่นกัน  ด้วยว่าในแต่ละคืน เขาแทบจะนอนไม่ซ้ำที่ บางครั้งคำตอบก็สุดแสนจะธรรมดา  คือค้างกับเพื่อนหอนอก  บ่อยครั้งเหมือนกันที่เขาค้างคืนบนตึกกิจกรรมชมรม  และบ่อยครั้งอีกเช่นกันที่ทำให้บางคนถึงกับงวยงง ... วัดผาลาด


 


สาเหตุที่แท้จริงของการเริ่มต้นใช้ชีวิตเหมือนกับพวกยิปซีของเขานั้นไม่ค่อยชัดเจนเหมือนคำตอบเรื่องถิ่นฐานบ้านช่องของเขานั่นเอง 


 


เมื่อประมาณสองปีก่อน  เขาเองก็เป็นเหมือนกับผู้คนทั่วไปในสถาบันแห่งนี้ มากมายด้วยเพื่อนฝูง  ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นเจ้าของมอเตอร์ไซค์ถึงสองคัน  โดยเฉพาะคันที่สอง  เป็นการเก็บรวบรวมจากน้ำพักน้ำแรงของเขาเองทุกบาททุกสตางค์เพื่อที่จะให้ได้รถที่เขาใฝ่ฝัน  ในที่สุด รถเวสป้า 150 ซีซีสีเขียวนวลก็เป็นของเขา  สุดท้ายรถทั้งสองคันนั้นก็ถูกโจรกรรมไปอย่างหน้าตาเฉย  และจนป่านนี้เขาเองก็ยังไม่ได้รับข่าวคราวใดๆ จากมัน 


 


แม้กระทั่งเรื่องของความรัก  เขาเองก็มีหัวใจเหมือนหนุ่มสาวทั่วไป  แต่สาเหตุของการกลายเป็นชายพเนจรในครั้งนี้  จะหมายถึงประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดในครั้งนั้นหรือไม่  ใครจะไปรู้


 


ทุกวันเขามักจะใช้ชีวิตหมดไปกับหนังสือเล่มโปรด  การนั่งขีดๆ เขียนๆ และการเดิน  เขามักเล่าถึงสิ่งต่างๆ ที่เขาได้พบเห็นมาในแต่ละวันให้ผมฟัง  เล่าเรื่องความฝันที่มากมายของเขา  ครูบนดอย  อาจารย์สอนศาสนาภาคใต้  ศิลปิน  นักร้อง  นักกวี  นักเขียน แม้กระทั่ง วณิพกข้างถนน


 


เรื่องที่เล่ามักจะเป็นสิ่งที่เขาพบผ่านในแต่ละวัน เขาบอกผมว่ารู้สึกคุ้นเคยกับต้นหญ้าตามข้างทาง  ต้นไม้แต่ละต้นและก้อนหินทุกก้อน  ไม่เคยแคร์สายตาของใครเวลาที่ถูกจับจ้องในขณะที่เขาเป็นตัวของตัวเอง  เขาบอกผมว่ามันเป็นสิ่งที่เขาควรจะเป็นมาช้านาน  เขารู้สึกเหมือนคนที่เดินย่ำร่วมไปในวิถีของคนทั่วไปแต่มีความหมายแปลกแยก  รอยยิ้มของผู้คนที่เดินสวนกันบนถนนดูแปลกตา กว่าที่เคยมองเห็น ชายหนุ่มหน้าตาคมฉายแววลึกลับในดวงตาขณะพาสาวน้อยหน้าขาวดูเจนจัด แต่แววตาใสซื่อนั่งขับรถเก๋งคันหรู หญิงสาวผู้สูงส่งกับรองเท้าประจำตำแหน่งที่ยิ่งดันตัวเธอให้อยู่เหนือคนอื่นด้วยระดับสายตาของตนเอง  นักศึกษาน้องใหม่ที่หลงใหลกับก้าวแรกที่เพิ่งผ่านพ้น  กับนักศึกษาปีแก่กับก้าวสุดท้ายอันแสนเบื่อหน่าย คล้ายถูกดูดซับความมีชีวิตชีวาออกไปจากตัว  ความสุขของคนบางคนคือการได้เที่ยวทำกิจกรรมในทุกๆ วันหยุด และมักจบลงด้วยความเหนื่อยล้ากับการเรียนวันแรกของสัปดาห์ใหม่  แต่ความรู้สึกของใครอีกหลายคนจะคืนกลับมาพร้อมกับการเปิดฤดูกาลของฟุตบอลยุโรปและจบลงด้วยความย่อยยับพร้อมทั้งรอคอยช่วงเวลาแห่งการเอาคืน  อย่างอดทน


 


ผมรู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกคนหนึ่งเท่าที่ผมเคยรู้จักผู้คนมานักต่อนัก  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเหมือนจะแสร้งให้ขัดกับสายตาคนอื่น  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดก็ดูเหมือนจะเป็นความจริงอันแสนโหดร้ายของสังคม  ที่คนทั่วไปเข้าข้างตัวเองอย่างอารมณ์ดี  แล้วคุณเล่าครับ คิดว่าเขายังสติดีอยู่อีกหรือเปล่า


 


แต่ถึงแม้คำตอบของคุณจะเป็นเช่นไรก็ตาม  แต่สำหรับผม  มันเกิดอาการชินชาเสียแล้วล่ะ  กับการตีความไปอย่างนั้น  ตั้งแต่เขาพบเจอกับผมหรือตั้งแต่ที่ผมพบเจอกับเขานู่นล่ะ 


 


ทุกคืนต้องทนดูเขานั่งนับความฝันอันไม่รู้จบและนอนฟังเขาพรรณนาถึงสิ่งต่างๆ ที่พบเจอตลอดวัน 


 


แต่จะทำอย่างไรได้เล่า ก็ในเมื่อผมไม่อาจปิดหูตัวเองในตอนที่เขาพูด  ปิดตาตัวเองเมื่อยามที่เขาชี้เชิญชวนให้ดูสิ่งต่างๆ ทั้งยังไม่อาจปิดปากได้สนิทเมื่อยามที่เขาเอ่ยถามยามเมื่อพลั้งเผลอร่วมสนทนา 


 


ดูเหมือนว่าผมก็ยังคงต้องเป็นเพื่อนที่ดีของเขาต่อไปนั่นเอง   ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหนๆ  อดีต ปัจจุบันและอนาคต    ก็ผมมันเป็นเพียงสำนึกบางส่วนในตัวของเขาเองนี่นา ...