Skip to main content

เสียงสะท้อนของคลื่นยักษ์

คอลัมน์/ชุมชน

1


วันที่ 26 ธันวาคม หลังจากวันคริสต์มาส 1 วัน เป็นวันที่ชาวตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวคริสต์เรียกว่าเป็นวัน Boxing Day กล่าวคือเป็นวันที่เขาจะเอากล่องของขวัญไปมอบให้กัน และยังถือว่ายังอยู่ในช่วงแห่งการเฉลิมฉลองกันอยู่


ทว่า อย่างคาดไม่ถึงว่า วันแห่งการมอบและรับของขวัญกันในปี 2547 นั้น คนจำนวนนับแสนกลับต้องพบกับความหายนะและได้รับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แทน ด้วยเหตุว่าได้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ขึ้นแก่โลกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเกิดแผ่นดินไหวขึ้นที่เกาะสุมาตรา ที่วัดความสั่นสะเทือนได้ถึง 9.0 ริคเตอร์ และตามมาด้วยคลื่นยักษ์สึนามิ ที่ถาโถมเข้ามาเพียงไม่กี่นาที แต่กลับทำลายล้างชีวิตผู้คนไปนับแสนคนที่อยู่ในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้ และมีผู้ที่ได้รับผลกระทบอีกนับล้านคน พร้อมกับสร้างความสูญเสียอย่างมหันต์


นับเป็นภาพที่สะเทือนใจเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเห็นภาพของผู้คนบาดเจ็บล้มตาย ภาพความสูญเสียและพลัดพรากจากกัน บ้านเรือนพังพินาศ คนไร้ที่อยู่อาศัย เด็กขาดที่พึ่ง ขาดพ่อแม่คอยดูแล ภาพเหล่านี้ไม่ว่าจะคนจากส่วนไหนของโลกที่ต้องประสบสภาพการเช่นนี้ต้องรู้สึกเช่นเดียวกันคือโศกเศร้า สะเทือนใจ สำหรับผู้ที่รอดชีวิตกลับมานั้น หลาย ๆ คนอาจต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่จะเยียวยาสภาพจิตใจได้ กระนั้น ชีวิตที่เหลืออยู่ก็คงจะต้องดิ้นรนกันต่อไปเพื่อให้อยู่ได้อย่างปกติในสภาวะที่ไม่ปกติ


ทว่า มองในอีกทางหนึ่งนอกจากภาพอันน่าสะเทือนใจดังกล่าวแล้ว อีกภาพหนึ่งสำหรับคนไทยที่เราได้เห็นคือความช่วยเหลือและธารน้ำใจที่หลั่งไหลกันมาอย่างไม่หยุดยั้ง ทุกคนต่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ผู้คนจากทุกภาคส่วนของประเทศหลั่งไหลเข้าในให้ความช่วยเหลือกันในรูปแบบต่าง ๆ ของประเทศเท่าที่กำลังของแต่ละคนจะมีให้ได้ ในขณะที่ภาคใต้ตอนล่างในสามจังหวัดเองก็ยังมีเรื่องความไม่สงบ มีการฆ่าคนบริสุทธิ์รายวันกันอยู่ แม้คนที่กำลังอยู่ในความไม่มั่นคง ก็ยังระดมทั้งเงินทอง และข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นไปบริจาคให้กับคนที่เชื่อว่าอยู่ภาวะที่ยากลำบากกว่า แสดงให้เห็นถึงภาพของความเอื้ออาทรที่มีต่อกันโดยแท้จริงของคนไทย การเฉลิมฉลองปีใหม่ของคนไทยปีนี้จึงเป็นการร่วมมือกันเพื่อช่วยเหลือผู้เดือดร้อนแทนการสังสรรค์กินดื่มอย่างที่เคยเห็นกัน


2


กระนั้น จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้สิ่งที่เรา ๆ ท่าน ๆ ได้เห็นกันคงไม่ใช่ภาพเพียงสองมิตินี้เท่านั้น การถาโถมเข้ามาของคลื่นยักษ์ในครั้งนี้ได้สะท้อนให้เห็นภาพหลาย ๆ ภาพที่เราอาจละเลยและมองข้ามกันมานาน รวมทั้งสะท้อนให้เห็นมุมมองใหม่ ๆ อีกหลายประการด้วยกัน


ประการแรกเลยทีเดียวนั้น สิ่งที่สะท้อนให้เราเห็นจากการเกิดของคลื่นยักษ์สึนามิ แล้วก่อให้เกิดความสูญเสียมากมายขนาดนี้ก็คือทำให้เห็นว่า คนไทยนั้นอยู่ในสังคมแห่งความไม่รู้ และไม่ยอมรับรู้ และเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่กลับไม่เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้ กล่าวคือ ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ อยู่มาก ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องควรรู้ แต่ไม่เคยใส่ใจหาความรู้ ดังตัวอย่างกรณีของคลื่นยักษ์สึนามินี้ใช่ว่า จะเกิดขึ้นครั้งแรกของในโลก เคยมีที่อื่นแล้ว แต่กลับไม่มีคนไทยรู้จักคลื่นนี้เลยเพราะไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยจึงไม่ได้สนใจที่จะรู้จัก และถึงแม้ว่าจะมีผู้ที่ทำการศึกษามาและมีความรู้ได้ออกมาแจ้งเตือนกันล่วงหน้ากันมาแล้ว แทนที่จะได้ให้ความรู้ต่อประชาชน หรือหากไม่แน่ใจว่าข้อมูลนั้นจะเป็นจริงก็ควรที่ดำเนินการค้นคว้าหาความจริงให้ปรากฏโดยผู้ที่มีความชำนาญการในเรื่องนี้กันต่อ แต่กลับละเลยมิหนำซ้ำยังหัวเราะเยาะหรือดูหมิ่นผู้ให้ข้อมูลด้วยซ้ำ


ที่น่าแปลกใจก็คือ นี่คือข้อมูลทางวิทยาศาสตร์หรือทางวิชาการที่พิสูจน์ได้จริงมาจากการศึกษาค้นคว้า แต่คนไทยกลับไม่เชื่อ ในขณะที่บางเรื่องเป็นเพียงคำทำนายซึ่งไม่อาจพิสูจน์ได้กลับเชื่อกันอย่างจริงจัง มิหนำซ้ำมักยกย่องด้วยซ้ำ แม้แต่คนที่ในใจไม่อยากจะเชื่อก็ยังเชื่อ โดยกล่าวอ้างว่าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ ดังนั้น หากมีความพยากรณ์ใด ๆ ที่ดูลึกลับ หาที่มาที่ไปไม่ได้ คนไทยมักจะเชื่อ แต่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์กลับถูกมองข้ามไป


ประการต่อมา การเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นนั้นอาจเป็นไปได้ว่ามนุษย์อาจไปทำลายทรัพยากรมากเกินไป จึงเวลาที่ธรรมชาติจะต้องเรียกคืนบ้างแล้ว พูดแบบนี้ออกไปอาจดูเหมือนงมงายไปเล็กน้อย แต่จะด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่สะท้อนให้เห็นว่า หลังจากนี้ควรจะได้เวลาจัดระเบียบใหม่กันเสียทีในหลาย ๆ เรื่อง ตั้งแต่การจัดระเบียบเมืองท่องเที่ยว การจัดระเบียบมาเฟียที่หากินอยู่ตามแหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หาดป่าตอง ตลอดจนการหันมาให้ความสนใจ และให้ความสำคัญต่อการพิทักษ์และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทั้งนี้จากการรอดชีวิตมาของหลาย ๆ คนนั้นยืนยันได้ว่าเป็นเพราะป่าชายเลนนั่นเองช่วยป้องกันชีวิตพวกเขาไว้


3


สิ่งที่สะท้อนให้เห็นประการหนึ่งจากเหตุการณ์มหันตภัยในครั้งนี้ก็คือ คงต้องถึงเวลาติวเข้มนักข่าวเพื่อให้เป็นมืออาชีพที่สามารถคิดเป็น และวิเคราะห์รวมทั้งมีความละเอียดอ่อนต่อประเด็นการคุ้มครองผู้เสียหาย รวมทั้งต้องอบรมคุณธรรมและจริยธรรมกับผู้บริหารที่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการทำข่าวให้เห็นแก่ประชาชนบ้างในยามวิกฤติ


ที่กล่าวเช่นนี้ก็เนื่องจากว่า เริ่มต้นจากการที่ความสนใจในการทำข่าวเรื่องนี้น้อยมาก เรียกว่าไม่ได้ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์เอาเสียเลย ไม่ว่าจะเป็นสื่อใด ๆ ก็ตาม แต่เมื่อพบว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ก็กรูกันเข้ามาทำข่าว แต่สิ่งที่ผู้สื่อข่าวพยายามทำนั้นหลาย ๆ ครั้งเป็นการขาดความละเอียดอ่อนต่อความเป็นมนุษย์ไปสักหน่อย อาทิ เรื่องการนำภาพที่ผู้ประสบภัยที่อยู่ในท่าที่ดูแล้วอุจาดตาไปลงตีพิมพ์ นี่ยังไม่ต้องนับเรื่องการละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคลถึงแม้ว่าบางคนนั้นเสียชีวิตไปแล้วแต่ญาติพี่น้องก็ยังมี คงไม่มีใครอยากให้เห็นภาพที่ไม่ดี ๆ ไปลงหนังสือพิมพ์หรือออกโทรทัศน์หรอก ไม่ว่าเขาจะเป็นหรือจะตาย เรื่องนี้คิดถึงแค่ความสมเหตุเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะไม่นำภาพที่ไม่น่าดูทั้งหลายไปลงแล้ว


ต่อมา การตั้งคำถามของผู้สื่อข่าวนั้นมีหลายคำถามที่ขาดความละเอียดอ่อนอย่างยิ่งในการตั้งคำถามกับผู้รอดชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่นั้นคงยังอยู่ภาวะคิดอะไรไม่ออกบอกอะไรไม่ได้ แต่หลาย ๆ ครั้งคำถามก็นำไปสู่การต้อนให้จนมุมจะต้องทำให้คนเหล่าบางครั้งก็ต้องเสียน้ำตาซ้ำไปอีก ตัวอย่าง การถามว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิต จะให้คนที่เพิ่งจะรอดชีวิตขึ้นมาได้ไม่ถึงชั่วโมงแล้วบ้านหายไปต่อหน้าต่อตาตอบได้อย่างไรกับคำถามเหล่านี้ เขาก็คงถามตัวเองอยู่ หรือการถามชาวต่างชาติ แน่นอนอาจด้วยความเป็นห่วงประเทศไทยจะสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวจึงตั้งคำถามว่า แล้วจะมาเที่ยวทีนี่อีกมั้ย สำหรับชาวต่างชาติที่เพิ่งจะรอดชีวิตคำถามนี้สามารถถือว่าเป็นการคุกคามได้ เพราะคล้ายกับว่า มาเจอขนาดนี้แล้วยังจะมาอีกหรือ และที่สำคัญคนที่เพิ่งจะรอดชีวิตมาหมาด ๆ จะตอบอะไรได้อย่างนี้ เป็นต้น


หลังจากหลายวันของการทำข่าวก็เริ่มที่จะหมดประเด็น แต่การแข่งขันกันในเชิงการนำเสนอกันนั้นยังคงอยู่ แต่เป็นการแข่งขันกันเชิงปริมาณเสียมากกว่า ดังนั้นเมื่อหมดเรื่องดี ๆ ก็เริ่มหาทางที่จะทำข่าวเชิงลบกันมากขึ้น มีกรณีตัวอย่าง ๆ เล็ก ๆ น้อยถึงการขาดตรวจสอบข้อมูล และข้อเท็จจริงก่อนการนำเสนอข่าว กล่าวหาการคัดแยกเสื้อผ้าผู้บริจาคว่าเป็นการเลือกตัวดี ๆ เอาไว้ให้เจ้าหน้าที่ใช้เสียเอง หรือการพยายามทำให้เห็นว่า มีคนที่ขโมยเข้าของจากผู้สูญเสียโดยผู้ขโมยนั้นเป็นชาวพม่า เรื่องแบบนี้ยังไม่เคยมีหลักฐานการจับกุม เป็นการกล่าวหาอย่างลอย ๆ แต่สามารถนำมาเสนอเป็นข่าว เป็นต้น


ส่วนกรณีของผู้บริหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำข่าวนั้น อยากจะเจาะจงไปที่ผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ ที่ในยามวิกฤตินั้นควรจะห่วงประชาชนมากกว่าโฆษณาถือเป็นการคืนกำไรให้ประชาชนก็ได้ ไม่ต้องคิดบริจาคเงินก็ได้ แต่ควรเป็นสื่อกลางที่ทำประชาชนได้รับรู้เรื่องจริงแทนการละคร และเกมโชว์ที่สามารถชมวันอื่น ๆ ก็คงไม่น่าที่จะทำให้สถานีย่อยยับ


อันที่จริงแหตุการณ์คลื่นยักษ์ถล่มประเทศต่าง ๆ ในครั้งนี้นั้น สะท้อนให้เห็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนมากมายของทั้งผู้คนที่ได้รับผลกระทบและคนไทยทั่วไป มีทั้งวิกฤติและโอกาสเกิดขึ้นมากมาย แม้ว่าประเทศไทยเรานั้นอาจจะมีความชำนาญเรื่องวัวหายแล้วล้อมคอก มากกว่าที่จะล้อมคอกก่อนวัวหายก็ตาม แต่อย่างน้อยหากทำให้หัวหายได้แค่ครั้งเดียว เพราะต่อมาเรามีคอกแล้วเราก็คงจะไม่เสียใจซ้ำสอง หวังว่าระบบการเตือนภัยที่ดีจะเกิดขึ้น และหวังว่าความรู้ ความรอบรู้ และความสนใจใฝ่รู้ในเรื่องต่าง ๆ ของคนไทยจะมีมากขึ้น


สุดท้าย ขอสวัสดีปีใหม่แก่ทุกท่านอย่างเป็นทางการ ขอให้คนไทยทุกคนได้อยู่ในสังคมแห่งการเรียนรู้และมีความเท่าทันสถานการณ์และความเป็นไปของโลก และขอสันติจงมีแด่ทุกผู้ทุกนามตลอดไป