Skip to main content

ฉี่, ฉันกับปฏิญญาสตรี

คอลัมน์/ชุมชน

ฮานอย-เซินลา พฤศจิกา 2546


 


วันนี้มีเรื่องระทึกเกิดขึ้นกับลูกผู้หญิงอย่างฉัน


 


เราออกจากฮานอยแต่เช้ามืดเพื่อจับรถบัสคันแรกไปเซินลา เป็นครั้งแรกที่ลองรถบัสดู แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ รถที่เขาว่า 24 ที่นั่ง นั่งไปๆ กลายเป็น 40 คนแออัดอยู่บนนั้น ไม่รวมไก่อีก 3 ตัว และต้นไม้ที่เสือกผ่านใต้เบาะตั้งแต่แถวแรกยันแถวสุดท้าย จากที่นั่งสบายๆ ก็กลายเป็นต้องนั่งกระมิดกระเมี้ยนเจี๋ยมเจี้ยม และท้ายที่สุดเมื่อความคิดเรื่องสิทธิส่วนบุคคลชนะความพยายามเข้าใจในชีวิตคนพื้นเมือง ความก้าวร้าวก็กลายมาเป็นเพื่อนร่วมทาง ฉันพบตัวเองนั่งกางข้อพิทักษ์พื้นที่ตัวเองอย่างหยาบคายจากลูกผู้หญิงคนข้างๆ


 


รถจอดให้กินข้าวตอน 11 โมง พวกผู้ชายดื่มเบียร์กันเยอะ ผู้หญิงก็ดื่มชากัน เขาไม่กลัวปวดฉี่หรือไงนะ…


 


ในที่สุด บ่ายสองรถก็จอดอีกครั้ง คราวนี้จอดข้างทางโล่งๆ เพื่อให้พวกสหายที่ซดเบียร์มาตลอดทางได้ปลดปล่อย ฉันหันไปหันมา เห็นผู้หญิงข้างๆ ชักชวนผู้หญิงคนอื่นๆ ลงไปข้างล่าง ก็เลยเดินตามพวกเธอไปด้วย คนแปลกหน้า 5 คนสำรวจพื้นที่โล่งๆ นั้นอย่างสิ้นหวัง ในที่สุดมีคนออกความเห็นให้ไปที่พุ่มไม้ย่อมๆ ไกลออกไปหน่อย เธอโบกไม้โบกมือไล่พวกผู้ชายทั้งหมดให้ขึ้นรถ แล้วออกเดินนำหน้า ไปถึงพุ่มไม้ ฉันมองซ้ายมองขวาอีก ก็มันมีพุ่มเดียว แค่พอที่จะบังสายตาพวกบนรถ แต่ไม่พอที่จะปิดบังกันเอง


 


ไม่ต้องคิดนานเลย เพื่อนร่วมเพศหาที่ทางของตัวเอง ถลกกางเกงแล้วก็ทรุดตัวลงไป ไม่มีทางเลือกอื่น ฉันได้แต่พยายามเพ่งสมาธิฉี่กลางแดดจ้า ฟ้าโล่ง ตรงโค้งถนนที่รถที่ผ่านมาคงอดยิ้มไม่ได้กับภาพของก้นสาวพื้นเมืองสี่ก้นเรียงราย และก้นสาวต่างชาติที่ซุ่มอยู่ข้างหลัง แอบมองก้นสาวพื้นเมืองอีกทีนึง.. 


 


เฮ้อ..การ์ดที่ยกมาตลอดทางเป็นอันต้องวางลงเพราะได้สัมผัสความละเอียดอ่อนกลางแดดร้อนๆนั่นแท้ๆเลย..


 


……………………………………………………………


 


เซินลา-ฮานอย พฤศจิกา 2546


 


ขากลับ เจอปัญหาเดิมอีกแล้ว รถจอดข้างทางเพื่อให้คนขับพัก หลังจากวิ่งตะลุยลงเขามา 5 ชั่วโมงรวด ฉันชวนน้องผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งไปห้องน้ำ แต่สภาพมันแย่มากจนคิดว่าไม่ควรเสี่ยงกับการติดเชื้อ ในที่สุดฉันเป็นฝ่ายเสนอให้เราไปหลังห้องน้ำนั่นแหละ มันเป็นริมคันนาที่ถึงจะโล่งโจ้ง แต่ก็สะอาดกว่าแน่นอน ฉันรับอาสายืนดูต้นทางให้ระหว่างที่เธอทำธุระ


 


พอถึงคราวตัวเองบ้างกลับไม่ราบรื่นอย่างที่คิด น้องคนนั้นคงรู้สึกแปลกๆ กับภาษาเวียดนามของฉัน รวมถึงพฤติกรรม "ดูต้นทาง" นั่นด้วย ก็มันไม่มีใครเขาทำกันหรอก เขาไม่เห็นเป็นสิ่งน่าอายที่ต้องมาเฝ้าระวังกัน เธอคงเก็บความสงสัยไม่อยู่จริงๆ ถึงยิงคำถามมาเป็นชุด " พี่ พี่เป็นคนต่างชาติหรือเปล่า" "พี่มาจากไหน"  "พี่มาทำอะไรที่นี่" "พี่อายุเท่าไหร่" "พี่จะอยู่เวียดนามอีกนานมั้ย" "แล้วพี่แต่งงานหรือยัง" ฯลฯ ลองคิดดูว่าสภาวะตอนนั้นฉันเป็นยังไง ต้องเพ่งสมาธิฉี่กลางแจ้งนี่ก็ลำบากพอแล้ว ยังแถมต้องมาตอบคำถามเหล่านี้ด้วยภาษาอื่นอีก แถมคนถามก็ยืนหันหน้าเข้าหาเราในระยะห่างที่ไม่เกินหนึ่งฟุตเนี่ย..มันเป็นชั่วขณะที่ใกล้ชิดกับตัวเอง กับธรรมชาติ และกับเพื่อนร่วมเพศมากเลย


 


……………………………………………………………


ยังมีครั้งที่ "ฟูมฟาย" ที่สุดที่ไม่ได้เขียนบันทึก แต่กลับจำได้ติดตาติดใจ เมื่อครั้งไปไซ่ง่อน แวะกินข้าวกลางวันที่ "เจอะ เหลิน" (Cho Lon) คิดว่าห้องน้ำที่นั่นน่าจะพัฒนากว่าที่ฮานอย จึงเดินเข้าไปอย่างมั่นอกมั่นใจ


หากก็ต้องตกใจ เมื่อเลี้ยวเข้าประตูไปแล้วเห็นว่าตรงหน้าไม่มีห้อง มีเพียงพื้นซีเมนต์โล่งๆ แฉะๆ ที่แต่ละจุด แต่ละมุมถูกเพื่อนจับจองกันตามสบาย ไม่มีแถว ไม่มีหน้า ไม่มีหลัง เป็นภาวะไร้ระเบียบของการดำรงอยู่ทางเพศอย่างแท้จริง


 


ให้ความรู้สึกคล้ายเราไปอยู่ในหนังที่เหมือนจริงมากๆ ทั้งกลิ่น ทั้งความวุ่นวาย ทั้งเสียง สำเนียงใต้ที่เราฟังไม่ออก และด้วยความที่มันเหมือนจริงที่สุด มันจึงสัมผัสกับบางส่วนเสี้ยวในใจไม่แพ้ซีนอื่นๆ เลย


 


……………………………………………………………


ฉันว่าเรื่องธรรมดาของกลไกตามธรรมชาตินี้ เมื่อเกิดขึ้นนอกกรอบพฤติกรรม และสถานที่อันจำเจ กลับไม่เพียงน่าจดจำ แต่ให้ความประทับใจในระดับที่ข้องเกี่ยวอย่างใกล้ชิดกับความแตกต่างที่วางอยู่บนพื้นฐานของความเหมือนกันทางเพศ ซึ่งสำหรับฉัน นำมาสู่มุมมองอันแสนจะติดดินต่อตัวเองและเพื่อนร่วมเพศ


ตลอดเวลาสามปีครึ่งที่เวียดนาม นับครั้งไม่ถ้วนที่การต้องสัมผัสสัมพันธ์ประจำวันกับบรรดาผู้หญิงพื้นเมืองนำไปสู่ความขัดอกขัดใจ ขัดแย้ง ปะทะ แต่ไม่ประสาน นำไปสู่การตั้งคำถามว่า มันมีจริงหรือ "ความเป็นผู้หญิง" "sisterhood" "ความร่วมมือกันของเพศที่ถูกกระทำ" "ชนชั้นเพศที่สอง" ฯลฯ


อุดมคติเรื่อง "ผู้หญิงๆ" ถูกทดสอบและทุบทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันค่อนข้างสงสัยว่าโดยรวมๆ แล้วเรารักกันจริงหรือ ฉันว่าอันที่จริงส่วนใหญ่เราไม่ค่อยชอบกันเท่าไหร่ เราอิจฉา หรือชังกันไกลๆ มากกว่า ผู้หญิงบางคนถึงทำร้ายหรือฆ่าเพื่อนร่วมเพศได้ มีเพียงผู้หญิงส่วนน้อยที่พยายาม "สร้าง" ความร่วมมือกัน บนพื้นฐานความเชื่อต่างๆ ที่เราก็ "สร้าง" ขึ้นมาอีกแหละ


แต่ไม่น่าเชื่อว่าในเวลาที่อยากจะฉีกตำราทิ้ง ประสบการณ์ใต้สะดือพวกนี้กลับนำฉันมาที่จุดตั้งต้นของความเป็นผู้หญิงอีกครั้ง กลับมาที่ร่างกาย ซึ่งเป็นความเหมือนที่บรรจุความแตกต่างทางนามธรรมอื่นๆ ไว้ภายใน กลับไปสัมผัสจุดเล็กๆ ทว่าทรงพลังในใจที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ย้อนยุค หากซ้อนทับกับโลกปัจจุบัน กลับไปสู่พื้นฐานอันมั่นคงก่อนที่จะเกิดขบวนการเรียกร้องสิทธิสตรีทั้งหลายแหล่


กลับไปสู่สัมผัสสัมพันธ์ทางเพศที่ใกล้ชิด และเข้าอกเข้าใจกันได้ผ่านพฤติกรรมอันแสนจะเรียบง่าย ซึ่งทุกวันนี้ถูกบดบังด้วยความทันสมัยของสุขภัณฑ์  และความเป็นส่วนตัวในแบบแผนชีวิตสมัยใหม่


ท้ายสุดแล้ว ส่วนหนึ่งของร่างกายส่วนนี้นี่เองที่เป็นสะพานเชื่อมฉันและผู้หญิงคนอื่น ข้ามพรมแดนทางวัฒนธรรม ข้ามอคติทางชาติพันธุ์ ท่ามกลางความลังเลเคลือบแคลงต่อ "ความเป็นผู้หญิง"  นี้ อย่างน้อยยังดีใจที่ได้ สัมผัสประสบการณ์บางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่ามันเป็น common ground ที่เรามีร่วมกัน


Through peeing, I glimpse womanhood.