Skip to main content

บันทึกจากติมอร์ของ "คนไม่สำคัญ"

คอลัมน์/ชุมชน

1


 


วันที่ 25 พฤษภาคม 2549


 


 "ดังที่รู้ๆ อยู่ว่า เมื่อวานนี้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่สงบขึ้นและ วันนี้เรายังไม่แน่ใจว่าสถานการณ์นี้จะรุนแรงขึ้นไปกว่าเดิมหรือไม่ ดังนั้น ขอให้ทุกคนเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ โดยปฏิบัติตามคำสั่งเรื่องความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด ขณะนี้ขอห้ามทุกคนเดินทางหรือเคลื่อนย้ายออกนอกบริเวณนี้โดยเด็ดขาด เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องอยู่ที่นี่และคอยฟังว่าทางหน่วยรักษาความปลอดภัยจะว่าอย่างไร"


 


นี่คือ การประชุมเพื่อแจ้งให้เจ้าหน้าที่ขององค์กรระหว่างประเทศแห่งหนึ่งในติมอร์ได้รับรู้ว่า ควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร หลังจากที่มีเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยน่าวางใจเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงเกิดขึ้นในกรุงดีลี ประเทศติมอร์ เลสเต และบอกว่า มาตรการเรื่องความปลอดภัยในแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างไร


 


ก่อนหน้าที่ผู้เขียนจะออกไปทำงานก็ยังหวั่นใจว่าไปได้หรือไม่เพราะดูเหมือนเหตุการณ์จะไม่ค่อยดี ไม่เห็นแท็กซี่ที่เคยจอดรออยู่หน้าโรงแรมมากมาย ท้องถนนก็เงียบผิดปกติ ประกอบกับผู้คนในโรงแรมหลายคนก็ทักว่าวันนี้จะไปทำงานได้หรือ จนในที่สุดจึงโทรศัพท์เข้าไปถามที่สำนักงาน ซึ่งรถของสำนักงานก็แวะมารับไปจนได้มาเข้าร่วมประชุมอยู่ตรงนี้


 


"ขณะนี้เราอยู่มาตรการในระดับ 2 ในเรื่องของการรักษาความปลอดภัย  นั่นหมายความว่า เข้มงวดในการเคลื่อนที่ และหากใครจะไปไหนต้องได้รับอนุญาตจากฝ่ายดูแลเรื่องความปลอดภัยเท่านั้น สำหรับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น หากต้องการติดต่อกับครอบครัว หรือต้องการให้ครอบครัวย้ายเข้ามาในบริเวณนี้ก็ให้มาแจ้ง ส่วนเจ้าหน้าที่ต่างประเทศ นั้นให้อยู่ในนี้ และหากมาตรการเปลี่ยนไปเป็นในระดับที่รุนแรงขึ้น และหากจะต้องมีการเคลื่อนย้ายคน หัวหน้าหน่วยงานแต่ละหน่วยจะดูแลเองว่าใครจะเป็นคนไปก่อนโดยจัดลำดับว่า ใครคือ essential (จำเป็นสำคัญ)  หรือ non essential person (ไม่จำเป็น) ที่จะต้องอยู่ในที่ทำงาน  ทังนี้ ให้เจ้าหน้าที่ต่างประเทศทุกคนฟังคำสั่งของทางองค์กร เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นให้ตัดสินใจได้ว่าจะเลือกกลับไปอยู่กับครอบครัวหรือจะให้ครอบครัวมาอยู่ด้วย ส่วนคนที่เป็นอาสาสมัคร อินเทิร์น และที่ปรึกษาจากต่างประเทศก็ให้ตัดสินใจว่าจะปฏิบัติตามแผนการสถานทูตของตนเองหรือจะปฏิบัติตามองค์กรก็ได้"  หัวหน้าสำนักงานประกาศ  จากนั้น ทุกคนแยกย้ายกันไปทำงาน


 


ทว่า เพียงอีก 15 นาทีต่อมา "ปัง ปัง ปัง" มีเสียงดังขึ้น เพื่อนที่ทำงานคนหนึ่งเริ่มบอกว่า หมอบลง ทุกคน หมอบลง ใช่แน่ๆ แล้ว ฉันรู้ ฉันรู้ หลายคนยังไม่ค่อยแน่ใจ แต่เมื่อมีเสียงกระหน่ำรัวมาอีกชุด ใช่แล้ว คราวนี้ ทุกคนก็เริ่มวิตก เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเริ่มร้องไห้ เพราะกังวลใจ และเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


 


ต่อมาหัวหน้าองค์กรก็ประกาศให้ออกจากสำนักงานไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ทุกคนออกจากพื้นที่ เริ่มมีการร้องไห้เกิดขึ้น ถึงตอนนี้ทุกคนต้องฟังคำสั่งหัวหน้าเพียงคนเดียวเท่านั้น


 


                         


 


เสียงปืนกับเสียงระเบิดสลับกันไปมาเป็นระยะไม่ขาดสาย มีการนำตำรวจที่บาดเจ็บและคนที่ตายเข้ามาในบริเวณนั้นด้วย เสียงร้องไห้ของคนในท้องถิ่นก็เพิ่มมากขึ้นว่า "ทำไมฆ่ากันเอง เราเป็นติมอร์ด้วยกัน" การต่อสู้ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เราเริ่มคิดถึงเรื่องการกลับประเทศแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ คงเป็นเพียงรอฟังคำสั่งเท่านั้น ที่สำคัญตั๋วเครื่องบินคงจะไม่มีแน่นอน


 


ในที่สุดก็มีการประชุมใหญ่ตอนเย็นโดยมีผู้บริหารและผู้บัญชาการด้านความมั่นคง รวมทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศติมอร์ เลสเต นายรามอส ฮอร์ต้า ได้เข้ามาให้ข้อมูลว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างและกำลังจะดำเนินการกับเรื่องนี้อย่างไร ในที่สุด ทางติมอร์ก็ตัดสินใจขอทหารจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ตำรวจจากมาเลเซีย และโปรตุเกสเข้ามาช่วยรักษาความสงบ โดยทางออสเตรเลียยืนยันว่าจะมาถึงภายใน 24 ชั่วโมง เรื่องนี้คาดว่าจะทำให้ผู้คนเบาใจว่า ความสงบเรียบร้อยกำลังจะเกิด ทว่า ที่สุดแล้วเหตุการณ์กลับรุนแรงขึ้นเพราะกลุ่มต่อต้านต้องการให้รัฐบาลต้องยอมจำนนก่อนที่ทหารต่างชาติจะเข้ามา การต่อสู้ยิ่งมากขึ้นไปอีก และแม้เสียงปืนจะเบาบางลงในช่วงท้ายๆ ในที่สุดวันนั้นเจ้าหน้าที่ทุกคนขององค์กรก็ได้รับคำสั่งค้างคืนที่สำนักงาน แต่จะมีใครสักกี่คนกันหนอที่จะนอนหลับได้อย่างสนิท


 


2


 


ก่อนหน้าที่จะต้องเข้ามาเผชิญกับเหตุการณ์นี้


 


วันที่ 21 พฤษภาคม 2549  เดินทางออกจากกรุงเทพฯ ไปบาหลี เพื่อจะต่อเครื่องบินไปยังติมอร์ตะวันออก หรือทางติมอร์เรียกตัวเองว่า ติมอร์ เลสเต  แต่เครื่องที่มีวันละ 1 เที่ยวได้ออกไปก่อนหน้านั้นจึงต้องค้างที่บาหลี 1 คืน เพื่อจะรอเครื่องบินในวันรุ่งขึ้น ครั้งนี้เป็นการเดินทางครั้งที่ 3 ก่อนออกเดินทางได้โทรศัพท์ไปสอบถามกับทางสำนักงานที่ดีลี (เมืองหลวงของติมอร์ เลสเต) ว่า สถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นเมื่อสองสัปดาห์ก่อนนั้นเข้าสู่สภาพปกติหรือยังได้รับคำตอบว่า "เหตุการณ์เรียบร้อยดี ทุกอย่างเป็นปกติให้เข้าไปทำงานได้"


 


วันที่ 22 พฤษภาคม 2549 เดินทางออกจากบาหลีประมาณ 10.30 น. โดยสายการบินเมอร์ปาตี แอร์ไลน์ สายการบินของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นสายการบินเดียวที่เดินทางจากบาหลีไปยังดีลี มีเที่ยวบินวันละ 1 เที่ยว ใช้เวลาในการบินเป็นเวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง แต่เนื่องจากเวลาที่ดีลีนั้นเร็วกว่าบาหลี 1 ชั่วโมง เครื่องบินจึงไปถึงดีลีในเวลาบ่ายโมงครึ่ง ใช้เวลากับการทำวีซ่าที่ปลายทาง รอรับกระเป๋า ผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองต่างๆ สิริรวมแล้วใช้เวลาไปอีกชั่วโมง จากนั้น นั่งรถของสำนักงานที่มารอรับ ไปเก็บของที่โรงแรมแล้วเข้าไปสำนักงานราวๆ บ่ายสาม


 


สอบถามคนขับรถถึงสถานการณ์ความวุ่นวายว่ายุติลงหรือยัง คนขับรถบอกว่าไม่มีปัญหาแล้วแต่ไม่แน่ใจว่าจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ เข้ามาเจอกับเพื่อนร่วมงานบอกว่าเตรียมแผนเดินทางออกไปต่างอำเภอไว้ให้แล้ว  2 อำเภอ ที่เรียกว่าอำเภอเพราะถอดมาจากคำว่า district เพราะติมอร์ เลสเต นั้นเป็นประเทศเล็กๆ ที่ในอดีตมีฐานะเทียบเท่าเพียง 1 จังหวัด ปัจจุบันจึงไม่มี province มีแต่ district, sub-district จนลงไปถึงระดับหมู่บ้าน เพื่อนร่วมงานยืนยันว่า เหตุการณ์ความไม่สงบยุติแล้ว ช่วงนี้ทางสำนักงานอนุญาตให้เดินทางออกนอกเขตเมืองหลวงได้  (หมายเหตุ อ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้นในติมอร์ ก่อนหน้านี้ได้ที่ลิงค์ ที่ให้ไว้ท้ายเรื่อง)


 


วันที่ 23 พฤษภาคม 2549 ออกจากดีลี 7 โมงเช้าเพื่อจะไปให้ทันนัดหมายการประชุมในตอน 9 โมง ระยะทางที่เดินทางไปนั้นเพียง 126 กิโลเมตร ทว่า เป็นการเดินทางบนเส้นทางเล็กเลียบภูเขา ด้านล่างเป็นทะเล หรือบางช่วงก็เป็นเหว ทิวทัศน์สวยงาม แต่เส้นทางการเดินนั้นกลับไม่ได้ใช้เส้นเดิมเพราะยังถูกกลุ่มก่อความไม่สงบปิดเส้นทางอยู่ ทำให้การเดินทางล่าช้าไปกว่าครึ่งชั่วโมง ในระหว่างการประชุม เริ่มมีการพูดคุยแบบซุบซิบกันบ้าง หลายคนเริ่มไม่มีสมาธิ ช่วงพักดื่มน้ำชาจึงรู้ว่ามีการยิงกันอีกแล้วในดีลี คราวนี้มีตำรวจได้รับบาดเจ็บ คนเหล่านั้นบอกว่า พวกทหารที่ซุ่มอยู่บนภูเขากลับมาทวงสัญญาจากรัฐบาลอีกแล้ว คราวนี้ยังไงก็ไม่รู้ดันไปยิงตำรวจ สงสัยจะเกิดเรื่องอีก จากที่เคยคิดว่าเหตุการณ์สงบลงนั้นเห็นท่าจะไม่ได้เป็นดังว่าเสียแล้ว


 


ตกกลางคืนผู้คนเริ่มจับกลุ่มคุยกัน มีกลุ่มชาวออสเตรเลียกลุ่มใหญ่บอกว่าได้รับแจ้งจากทางสถานทูตว่า ถ้าไม่ได้มีภารกิจใดสำคัญ ชาวออสเตรเลียควรที่จะกลับหรือออกจากประเทศนี้จะปลอดภัยกว่า


 


วันที่ 24 พฤษภาคม 2549 เดินทางต่อไปทำงานอีกจังหวัดหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับดีลีเข้ามาอีก โดยมีระยะทางประมาณ 45 กิโลเมตร พอดีมีตำรวจเข้ามาประชุมด้วยเลยสอบถามสถานการณ์ เพราะไม่แน่ใจว่าจะเข้าเมืองได้หรือไม่ ตำรวจบอกว่า ให้ใช้เส้นทางเดิม น่าจะยังคงไปได้ แต่ว่าตอนนี้ต้องระวังมากขึ้น


 


ตำรวจเล่าให้ฟังว่าตอนนี้ เหล่าทหารที่ถูกปลดออกที่หลบอยู่บนภูเขานั้นได้ลงมาแล้ว มาทวงถามสิ่งที่เรียกร้องไปจากรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลยังไม่ได้ให้คำตอบใดๆ มาตลอด แต่ตอนนี้ข้อเรียกร้องกลับยิ่งเพิ่มขึ้น โดยพวกทหารที่ถูกปลดประจำการเรียกร้องว่า ขอกลับเข้ารับราชการดังเดิมโดยต้องเลื่อนขั้น เลื่อนยศที่สูงขึ้นให้ด้วย และขอให้ผู้บัญชาการกองทัพพ้นจากตำแหน่งไปเนื่องจากปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ


 


นักวิเคราะห์ทั้งหลายต่างก็รู้ดีว่าการขอแบบนี้รัฐบาลย่อมทำให้ไม่ได้แน่นอน เนื่องจากทางผู้นำกองทัพนั้นมีสายสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับนายกรัฐมนตรี นอกจากนั้นนายกรัฐมนตรีเองก็บอกว่า รัฐบาลไม่มีอำนาจที่จะไปถอดผู้นำกองทัพออกจากตำแหน่ง แต่จะตั้งทีมขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงและจะนำเสนอขึ้นต่อศาล ให้ศาลเป็นผู้วินิจฉัยและตัดสินความผิดของผู้นำกองทัพโดยกระบวนการค้นหาข้อเท็จจริงนี้จะใช้เวลา 90 วัน  บรรดาเหล่าทหารบอกว่า "นั่นเป็นการช้าเกินไป ไม่อาจรอได้อีกแล้ว เพราะเราไม่มีจะกินกันแล้ว"  วันนี้เป็นวันที่ครบ 30 วันพอดีนับจากเหตุการณ์ประท้วงในครั้งก่อน


 


ช่วงบ่าย มีคำสั่งออกมาจากสำนักงานทางวิทยุผ่านดาวเทียมว่าให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่นอกเมืองทุกคนรีบกลับเข้ามาในเมืองทันทีก่อนที่จะมืด เพราะสถานการณ์ในเมืองตอนนี้อึมครึมอย่างยิ่ง อาจเกิดเหตุความวุ่นวายขึ้นได้  รวมทั้งเป็นไปได้ว่าจะต้องปิดถนนที่จะเข้าในเมือง


 


ระหว่างทางกลับมานั้น เห็นประชาชนเริ่มเก็บข้าวของหนีออกนอกเมืองกันมากมาย ผู้คนเหล่านี้ล้วนยังคงจำเรื่องราวที่มีการรบกับอินโดนีเซียในปี 1999 ได้ดี ต่างหวั่นเกรงที่จะอยู่ในบ้านของตน ต่างหลบหนีออกไปอยู่ตามนอกเมืองและตามภูเขาเพราะเกรงว่าอาจมีการเผาบ้านเรือนขึ้นมาอีกก็ได้


 


กลับเข้ามาถึงโรงแรงแรมที่พักพบกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของ UN ที่มาดูแลอยู่ในเขตนี้บอกว่า วันนี้มีข่าวว่าบ้านของผู้นำกองทัพถูกยิงด้วย ผู้คนที่โรงแรมเริ่มสนทนาว่าแนวโน้มของเหตุการณ์จะเป็นไปอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้น่าจะไม่ปลอดภัยเสียแล้ว ซุปเปอร์มาร์เก็ตข้างๆ โรงแรมก็ปิดไปแล้ว  สถานทูตออสเตรเลีย แจ้งให้พลเมืองของตนเองออกนอกประเทศโดยด่วน รวมทั้ง อังกฤษ และอเมริกา ก็แจ้งเช่นเดียวกัน สถานทูตฟิลิปปินส์ แจ้งให้ประชาชนเตรียมพร้อม สถานทูตสิงคโปร์ และ สถานทูตอื่นๆ ล้วนแล้วแต่เริ่มขยับและแจ้งข่าวให้พลเมืองของตน


 


ในฐานะที่เป็นพลเมืองไทยเนื่องจากไม่ได้ยินข่าวคราวใดๆ จึงโทรศัพท์ไปแจ้งว่า มีคนไทยอยู่ที่นี่อีกหนึ่งคน สถานทูต โดยท่านกงสุล รับสายด้วยน้ำเสียงงงๆ ที่มีโทรศัพท์ไปรายงานตัว   อันที่จริงแม้ว่าสถานการณ์จะยังไม่ใช่จุดตึงเครียดสูงสุด แต่ก็น่าจะเป็นประโยชน์หากสถานทูตจะรู้ว่ามีคนไทยอยู่ที่ไหนบ้างเพราะว่าเป็นหน้าที่ของสถานทูตไทยที่จะดูแลพลเมืองไทย เพราะตอนนี้ประเทศต่างๆ ก็ส่งข้อมูลทาง SMS กันเป็นระยะๆ เพื่อเตือนพลเมืองของเขา  ส่วนสถานทูตไทยนั้นยังคงนิ่งเงียบอยู่ เข้าใจว่าคงจะไม่วิตกกับเหตุการณ์นัก


 


3


 


วันที่ 26 พฤษภาคม 2549  ตอนรุ่งสางของวัน ลืมตาขึ้นมาจากการฟุบอยู่บนเก้าอี้ของที่ทำงานก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีก คิดในใจแบบเซ็งๆ ว่า "ไอ้พวกนี้สมองมันทำด้วยอะไรนะ แทนที่จะตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความสดใส กลับตื่นมาพร้อมจะความคิดที่จะฆ่าคน และคงจะเป็นอีกวันที่จะไม่รู้ชะตากรรม"


 


แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ  การสู้รบยังคงอยู่ เราต้องย้ายไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้เพื่อให้แน่ใจว่าจะปลอดภัย สถานทูตต่างๆ เริ่มอพยพคนในประเทศตนเองออกไป ในฐานะของ non-essential person อย่างเราสามารถที่จะปฏิบัติตามสถานทูตหรือองค์กรก็ได้หัวหน้าสำนักงานก็เลยถามว่า "ติดต่อสถานทูตไทยบ้างหรือเปล่า"  "ติดต่อไปแล้วเมื่อ 2 วันก่อนแต่ไม่ได้รับการแจ้งข่าวสารข้อมูลให้ทราบแต่อย่างใด" ผู้เขียนตอบ ทางหัวหน้าฯ ก็บอกว่าให้หมั่นติดต่อนะ เพราะตอนนี้แต่ละประเทศเริ่มส่งคนกลับประเทศแล้ว เผื่อสถานทูต you มีคำแนะนำบ้าง


 


                          


 


ผู้เขียนโทรศัพท์ไปพบท่านกงสุลท่านเดิมอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ และถามว่า ตอนนี้ทางสถานทูตไทย มีแผนใดๆ หรือไม่ คำตอบอย่างเนือยๆ ก็คือ "ไม่มีเลยครับ" ก็ดูจะเป็นคำตอบที่มิได้ผิดคาดมากนัก สำหรับการทำงานแบบไทยๆ แต่รู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้ยินการเอ่ยปากถามแม้แต่คำเดียวว่า คุณอยู่ที่ไหน อยู่ในที่ปลอดภัยหรือไม่ หรือว่าสถานทูตจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง หรือให้ข้อมูลว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร  นี่ไม่ต้องคิดว่าเรื่องน้ำใจระหว่างคนไทยด้วยกันหรอก แต่เป็นหน้าที่ของสถานทูตโดยตรงที่จะดูแลคนไทยในต่างประเทศ และนี่คือวัตถุประสงค์ของการมีสถานทูตไทยในต่างประเทศมิใช่หรือ นอกจากนั้นก็รู้สึกอับอายเวลาคุยกับเพื่อนประเทศอื่นที่เขาบอกว่ารัฐบาลหรือสถานทูตของเขาจัดการช่วยเหลือประชาชนของเขาหรือให้คำแนะนำคนของเขาอย่างไรบ้าง เพราะว่าสถานทูตไทยที่นี่ ทำให้รู้สึกว่าคนไทยดูไร้ค่ามากๆ เพราะตัวแทนของรัฐบาลไม่ได้ใส่ใจคนในชาติเลย


 


เคยได้ฟังเวลาเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยในต่างประเทศหลายๆ แห่งให้เหตุผลเวลาที่ให้สัมภาษณ์สื่อว่า ที่ช่วยเหลือคนไทยได้ไม่หมดเพราะบางคนไม่ได้แจ้งว่าอยู่ไหน จึงทำให้การดูแลไม่ทั่วถึง แต่เหตุการณ์นี้กลับผิดกันเพราะมีการแจ้งไว้ก่อน รวมทั้งให้หมายเลขติดต่อ และโทรฯ ไปสอบถามอีกด้วย ก็ไม่มีแม้กระทั่งการให้กำลังใจ จึงได้แต่คิดในใจว่า "สำหรับสถานทูตไทยแล้ว เราคงจะเป็นคนไม่สำคัญแบบ unimportant เอามากๆ" ในทางกลับกันก็ด้วยการตอบสนองเช่นนี้นั่นเองหรือเปล่าที่ทำให้คนไม่อยากติดต่อสถานทูตไทย


 


แต่ในที่สุดเรื่องการเป็นคนไม่สำคัญแบบ non-essential person ก็ทำให้เราได้รับการดูแลจากองค์กรที่จะให้ออกไปจากพื้นที่ก่อน หมายความว่า ปลอดภัยก่อน ทางองค์กรได้ติดต่อกับทางสถานทูตออสเตรเลียให้เข้ามาช่วยเหลือและจัดการส่งออกนอกพื้นที่ "ตอนนี้เพื่อความปลอดภัยของคุณ เราได้ติดต่อกับทางสถานทูตออสเตรเลียให้จัดการให้คุณได้ออกไปนอกพื้นที่นี้ก่อน" ทว่า ไม่มีแม้กระทั่งเวลาจะให้เก็บสัมภาระที่โรงแรม  กระเป๋าเดินทาง เสื้อผ้า รองเท้า หนังสือ เครื่องเล่น mp 3  คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค และแม้แต่สมุดบันทึกแสนรักก็อยู่ที่นั่น เสียดายปนเศร้า แต่ก็ไม่มีเวลาคิดมากแล้วคงต้องเอาชีวิตรอดก่อน


 


 และแล้วด้วยความช่วยเหลือจากทางสถานทูตออสเตรเลีย และทีมออสเตรเลียอีกหลายฝ่าย  (ไม่ใช่สถานทูตไทย)   เราก็ได้รับการดูแลและจนตอนนี้แม้จะยังมีการเผาเมืองและการสู้รบยังคงอยู่แต่เราก็ได้อยู่ในที่ปลอดภัยดีแล้ว


 


เพื่อนๆ จำนวนไม่น้อยที่รู้ข่าวคราวก็ติดต่อโทรถามข่าวคราว รวมทั้งให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี ดังนั้นแม้ว่า อาจจะไม่ได้เป็นคนสำคัญแบบ essential person  แต่นั่นก็ทำให้สามารถออกไปจากพื้นที่เสี่ยงได้ก่อน และแม้ว่าอาจจะเป็นคน unimportant สำหรับสถานทูตไทยที่จะให้ความช่วยเหลือก่อน แต่ก็ได้พบว่ามีเพื่อนๆ ที่อยู่ทั้งในและนอกประเทศจำนวนไม่น้อยที่ยังยกความเป็นคนสำคัญให้ไว้อยู่อย่างสังเกตเห็นได้จากการปฏิบัติต่อกันในยามคับขันครั้งนี้


 


 


อ่านเหตุการณ์ในอีสต์ ติมอร์ก่อนหน้านี้


http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=3526&SystemModuleKey=HilightNews&SystemLanguage=Thai