Skip to main content

เหมือนดอกไม้มีเรื่องเล่า 6 : กุหลาบของพี่ชาย

คอลัมน์/ชุมชน

"กุหลาบกำละ 10 บาทเหรอคะป้า"


ฉันถามคนขาย คุณป้ารูปร่างท้วมหันมามองด้วยรอยยิ้ม วันนี้แกใส่เสื้อลายดอกไม้สีบานเย็นเจิดจ้า


 


 "ใช่แล้ว ทำไมแพงไปเหรอ"


 "เปล่าค่ะ ไม่แพงหรอก ถามให้แน่ใจ" ฉันตอบอย่างที่คิด แล้วหยิบกุหลาบกำหนึ่งที่มัดไว้ด้วยหนังยางเก่าๆ


 


ในหนึ่งกำมีกุหลาบอยู่ 4 ดอก หากจะเฉลี่ยราคาก็อยู่ที่ดอกละสองบาทห้าสิบ


ราคาค่างวดของมันไม่น้อยหรอก หากมองว่าผืนดินสักหนึ่งตารางเมตรที่โลกให้เรามานั้น ปลูกดอกไม้ได้นับร้อยดอก เมื่อตัดออกก็งอกใหม่ แต่จะทำอย่างไรได้ หากเราไม่สามารถปลูกด้วยตัวเอง


 


และเท่าที่รู้ ดอกไม้ที่วางขายเหล่านั้น อาจมาจากสวนที่ไหนสักแห่งในเชียงใหม่


สวนดอกไม้ที่คนปลูกต้องจ่ายค่าเช่าผืนดินเป็นรายปี หอบหิ้วครอบครัวจากอำเภอห่างไกลเข้ามาประกอบอาชีพ


เขาอาจสร้างบ้านด้วยเศษไม้ที่ซื้อมาราคาไม่กี่บาท เพื่อเป็นเรือนกินเรือนนอนตลอดปี ทำงานดึกดื่น


หัวเราะลำพังกับลูกเมียในสวนกว้างยามดอกไม้บาน หรือร้องไห้กินข้าวไม่ลง เมื่อยามน้ำท่วม ดอกไม้เสียหายเป็นไร่ จดรายจ่าค่าปุ๋ย ค่ารถไว้ข้างฝา แล้วกินข้าวบนโต๊ะหินที่ต้องยกเท้าขึ้นหนีน้ำเจิ่งนอง


 


ฉันนึกถึงฉากเหล่านี้ตลอดทางที่หอบกำกุหลาบกลับถึงบ้าน และค้นพบอีกครั้งว่า


การเขียนเป็นวรรคเป็นเวรนี้ไม่ใช่แค่การนึกคิดเอา  แต่เพราะไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี่เอง ที่ฉันได้เจอกับเขาอีกครั้ง


 


 "เขา" คนปลูกดอกกุหลาบ และเขาซึ่งเป็นพี่ชายของฉัน


จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า ตอนเด็กๆ ฉันเคยซ้อนท้ายจักรยานเขา


มันนานมาก จนจำไม่ได้ว่าฉันและเขาไปไหน และเราคุยอะไรกันบ้างไหม


 


เราสองคนไม่สนิทกัน  อายุห่างกันมากกว่า 15 ปี เมื่อตอนเขาเป็นหนุ่มอายุราว 20 ฉันคือเด็กหญิงอายุ 5 ขวบ เขาคงนึกไม่ถึงว่าเมื่อฉันโตขึ้น จะมีเค้าโครงใบหน้าของพ่อเช่นเดียวกับเขา แม้ว่าเรามีแม่คนละคน เคยอยู่บ้านหลังเดียวกัน และจากนั้นเราก็แยกย้ายกันไปใช้ชีวิต ปัจจุบันเขามีลูกสาวแล้ว 1 คน อายุ 15 ปี


 


สวนกุลาบของเขาอยู่เลยเมืองเชียงใหม่ออกไปทางทิศเหนือ


ดูเขาตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อฉันจอดรถและเดินลงไป ทั้งภรรยาและลูกกุลีกุจอออกมาต้อนรับ


ถามฉันว่าอยากกินอะไร ไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้ แต่ฉันยิ้มร่า บอกว่ากินอะไรก็ได้ตามนิสัยเดิม จากนั้นขอตัวเดินเล่นชมสวนดอกไม้ มีทั้งแปลงดอกที่เพิ่งปักชำกล้าอ่อน สูงเท่าฝ่ามือ บางแปลงต้นกำลังโต แตกใบอ่อนสีเขียวน่ากินเหมือนผักหวาน และบางแปลง ดอกกุหลาบหลายสีแข่งขันกันอวดความสวยงาม


 


ก้มหน้าลงดมกลิ่นดอกไม้ กุหลาบในสวน หอมยิ่งกว่าในตลาด ไม่ใช่แค่กลิ่นหอมหวาน แต่มีทั้งกลิ่นดิน กลิ่นปุ๋ยหมัก กลิ่นของฝนที่เพิ่งลง กลิ่นต้นไม้ใบหญ้าและข้าวในทุ่งไม่ไกล ที่ผสมปนเปกัน มันเป็นกลิ่นที่มีชีวิต


 


 "พี่ปลูกเองหมดเลยเหรอ"


ชายวัยกลางคนยิ้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความภูมิใจ


 "ใช่แล้ว ก็ช่วยกับลูกกับเมีย ตอนนี้ทำได้หมดแล้วนะ จะติดตา ตอนกิ่ง จะผสมให้ได้กี่สี จะให้ดอกออกมาแบบไหน ทำได้หมดเลย"


พี่สะใภ้ของฉันยิ้มอย่างรู้ทัน  แอบสบตากับลูกสาวเมื่อถึงคราวขี้โม้ของพ่อ


 


เขาเล่าว่าหลายปีก่อน เพียรพยายามไปเป็นลูกจ้างในสวนกุหลาบ เรียนรู้ทุกอย่างในค่าจ้างวันละ 120 บาท หนักเอาเบาสู้ ไม่เคยมีวันหยุด บางวันออกไปส่งกุหลาบที่ไกลๆ และฝันอยู่ตลอดว่าสักวันอยากเป็นเจ้าของสวนเองสักครั้ง


 "ในที่สุด เจ้าของก็เลยแบ่งที่ให้เช่า บอกว่าลองทำเอง ไม่ต้องเป็นลูกจ้างแล้ว ก็ดีใจมาก เราทำปีแรก ปลูกเสร็จ น้ำท่วมพังหมดเลย ปีนี้ก็เอาใหม่อีก ไม่รู้จะน้ำท่วมไหม"


 


แม้จะเล่าถึงเรื่องทุกข์อกทุกข์ใจ แต่แปลกนัก ที่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม ว่าแล้วก็ชักชวนกันไปกินข้าวบนโต๊ะหินอ่อนในบ้านไม้ บ้านหลังเล็กๆ สีเหลืองสลับฟ้า ซึ่งทำจากผนังไม้ป้ายโฆษณา ซื้อต่อมาทั้งหลังในราคา 3000 บาท ในนั้นกั้นเป็นห้องนอนหนึ่งห้อง อยู่รวมกันทั้งพ่อแม่ลูก และพบว่ายังมีเด็กชายตัวเล็กราว 3 ขวบอีก 1 คน ที่แม่เขาทิ้งไป และพี่สะใภ้ก็เอามาเลี้ยงดู


 


 "อยู่ที่นี่ลำบากไหม คิดถึงบ้านไหม" ฉันถาม เขาทำหน้าครุ่นคิด ก่อนตอบ


 "ไม่ลำบากหรอก อยู่ได้ ที่นี่สงบ เย็นสบาย แทบไม่ต้องเปิดพัดลม ตื่นมาก็ทำงานได้เลย เหนื่อยก็นอน"


 "สุขภาพล่ะ"


 "ก็สบายดีนะ วันไหนเหนื่อยกินเบียร์สักขวด ก็หลับปุ๋ย" ว่าพลางหัวเราะ รอยยิ้มเหมือนพ่อไม่มีผิด


 


เราคุยกันด้วยความสุข  ริ้วรอยบนใบหน้าของผู้ชายวัยสี่สิบกว่า เล่าถึงชีวิตโดยไม่ต้องไถ่ถาม  บ้านหลังนั้นเลี้ยงนกแก้วพูดไว้หน้าบ้านด้วย 1 ตัว และฉันก็ฟังไม่ออกว่ามันพูดอะไรบ้าง  ในสวนยังมีเพื่อนบ้านอีก 2 หลังที่มีอาชีพปลูกกุหลาบเหมือนกัน


 


ก่อนจะกลับ พี่ชายอยากเอากล้ากุหลาบให้มาปลูก ฉันแสนเสียดาย เพราะยังไม่มีบ้านของตัวเองและไม่มีผืนดิน บอกเขาว่าสักวันต้องมาเอาแน่นอน และก็อยากจะมาฝึกปลูกฝึกติดตาด้วย


 


 "มาได้เลย ทุกเวลา พี่อยู่นี่ไม่ไปไหน ส่วนลูกสาวเดี๋ยวเขาต้องไปเรียนต่อแล้ว ไกลบ้าน แต่เขาเป็นเด็กดี เลิกเรียนก็ช่วยพ่อปลูกกุหลาบ เสาร์อาทิตย์ไม่เคยไปเที่ยวเลย"


ฉันพยักหน้า ก้มลงดมกลิ่นกุหลาบอีกครั้ง กลิ่นหอมนั้นมีความฝัน หันไปมองยังแววตาของพี่ชาย ดูเหมือนเขามีอะไรจะพูดเช่นกัน แต่ไม่เป็นไรหรอก อาจจะไม่ถึงเวลานั้น ในเวลานี้เราต้องจากกันอีกครั้ง เหมือนตลอดชีวิตที่ผ่านมา พบกัน จากกันสม่ำเสมอ ยังมีพี่สาวและพี่ชายอีกหลายคนที่ฉันเจอไม่กี่ครั้งในชีวิต เราเป็นอิสระจากกันและกัน มีชีวิตของตัวเอง ไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดจากกัน


 


 "มีอะไรให้ช่วยก็โทรบอกนะ" ฉันว่าไปแบบนั้น ทั้งไม่รู้หรอก จะช่วยอะไรเขาได้ไหม


เขาพยักหน้า แววตาเอ็นดูน้องสาวยังเปี่ยมล้น เขาก็เช่นเดียวกับพ่อ ปล่อยให้ฉันไปใช้ชีวิต


มีเพียงอย่างหนึ่งที่พวกเขาไม่เคยรู้ตัวเลย คือความทุกข์ยากที่สอนให้ฉันอดทน จากสิ่งที่พวกเขาทำ


 


...............................


 


 "คุณป้าคะ หนูขอกุหลาบอีกกำค่ะ ลืมนึกไปว่ามีแจกัน 2 อัน"


ฉันเลี้ยวจักรยานกลับไป เช้านี้จะมีดอกกุหลาบสีชมพูบานเต็มบ้าน


และบางที มันอาจเป็นกุหลาบจากสวนของพี่ชายฉันเองก็เป็นได้.