Skip to main content

ความรื่นรมย์ของชีวิต

คอลัมน์/ชุมชน

เมื่อสุดสัปดาห์ก่อน (23 ม.ค.) ได้มีโอกาสไปร่วมงานเล็ก ๆ งานหนึ่ง ชื่อ "งานสังสรรค์และรำลึกถึงหม่อมหลวง บุญเหลือ เทพยสุวรรณ" ที่เรือนไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งจัดขึ้นโดยศิษยานุศิษย์ทั้งสายตรง และผู้ที่ฝากตัวเป็นศิษย์ของท่าน อันเนื่องมาจากท่านเป็นผู้ที่มีคุณูปการในแวดวงวรรณศิลป์อยู่ไม่น้อย

งานจัดขึ้นในช่วงแดดร่มลมตกของวันอาทิตย์ มีการมอบรางวัลให้แก่ผู้เขียนบทวิจารณ์ภาพยนตร์และละครดีเด่น และมอบทุนการศึกษา และมีหนังสือและขนมไทยวางจำหน่าย เพื่อนำเงินรายได้มาสมทบทุนกองทุนต่อไป ซึ่งรางวัลบทวิจารณ์ภาพยนตร์และละครดีเด่นนั้น ชาวประชาไทดอทคอมทั้งหลายควรจะได้ร่วมแสดงความยินดีกับคนที่ได้รับรางวัลด้วยได้ เพราะว่าหนึ่งในนั้น คุณศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ จากบทวิจารณ์เรื่ององค์บาก : ความหมายทางโครงสร้างของภาพยนตร์ เป็นงานชิ้นเดียวกับที่ได้นำมาลงในเว็บไซต์ประชาไทนี่เอง โดยได้รับรางวัลชมเชย


อย่างไรก็ตาม ไฮไลท์ของงานนี้คงไม่ได้อยู่ที่การมอบรางวัลเท่านั้น หากแต่คงจะอยู่ที่การเล่นสักวา เรื่องพระอภัยมณีตีเมืองผลึก ประกอบดนตรี ซึ่งเป็นการรวมเอานักกลอน นักวรรณศิลป์เด่น ๆ ของไทยมารวมตัวกัน และได้แสดงความสามารถในการด้นสักวากันสด ๆ โดยคนเล่นอย่าง อ.ประยอม ซองทอง ผศ.มะเนาะ ยูเด็น รศ.วันเนาว์ ยูเด็น อ.วินัย ภู่ระหงษ์ อ.อำพล สุวรรณธาดา ศ.นายแพทย์พูนพิศ อมาตยกุล มรว.อรฉัตร ซองทอง รศ.วันเนาว์ ยูเด็น และอีกหลายท่านจำชื่อไม่ได้หมด แต่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่เชี่ยวกรำ เป็นปรมาจารย์อยู่ในแวดวงวรรณศิลป์ ที่มีทั้งความรู้ทางทฤษฎีและปฏิบัติทั้งสิ้น แล้วต่อด้วยการร้องเป็นทำนองเสนาะ โดยทำนองดนตรีต่างๆโดยวงดุริยประณีต ควบคุมวงโดยอาจารย์สุดจิตร ดุริยประณีต ศิลปินแห่งชาติ


การแสดงที่เต็มไปด้วยปฎิภาณ ไหวพริบ โต้ตอบกันไปมาแบบสด ๆ และเรื่องพระอภัยมณีนั้นก็เป็น พระอภัยยุค 2548 ที่หยิบยกเอาสถานการณ์ปัจจุบันขึ้นมากล่าวได้อย่างสอดคล้อง ส่วนการขับร้องนั้นก็ทำให้ได้เรียนรู้ว่า นี่หรือคือทำนองที่เรียกว่า โยสลัม นี่หรือคือเพลงเทพทอง นี่หรือคือถอยหลังเข้าคลอง นี่หรือมาร์ชชิ่ง ทู จอร์เจีย และอีกมากมายที่เคยเห็นวงเล็บไว้ข้างหลังบทกลอนยามอ่านวรรณคดี แต่ไม่เคยรู้ว่าเขาร้องกันอย่างไร ก็ได้มาฟังวันนี้เอง นับเป็น 1 ชั่วโมงที่มีคุณค่ากับชีวิตมาก ๆ


ดูแล้วให้ย้อนคิดไปในอดีตว่า ชีวิตคนในยุคก่อนช่างน่าอภิรมย์นัก และช่างมีเวลามานั่งหาความสำราญกันได้แบบง่าย ๆ แถมยังเป็นเอกลักษณ์ คิด ๆ ไปแล้วก็รู้สึกเสียดายมาก ๆ ที่ทุกวันนี้ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ที่คนมักบอกว่าโลกแคบลง เพราะเราสามารถเชื่อมถึงกันได้หมด แต่โลกก็กลับหมุนเร็วให้เราต้องวิ่งตามโลกให้ทัน ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นตกกระแส จนหลายครั้งเรามองเห็นวัฒนธรรมท้องถิ่นกลายเป็นเรื่องล้าสมัย ไม่ทันกาล เพราะจะต้องเร่งทำมาหาเงินเพื่อใช้หนี้ และหากหมดหนี้แล้วก็ต้องหาเงินมาอำนวยความสะดวกให้ตัวเองให้ทันโลกเทคโนโลยี


ในงานนี้เองที่สะท้อนให้เห็นชัดในความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย เพราะว่าที่งานนี้ เกินครึ่งของคนที่อยู่ในงานนั้นเป็นคนที่อยู่ในวัยเกษียณแล้ว ส่วนอีก 20 กว่าเปอร์เซ็นต์นั้นก็เป็นคนที่ไปรับรางวัลและรับทุนการศึกษาและเพื่อนของคนที่ไปรับทุน มีไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์เป็นคนวัย 35-40 ซึ่งเป็นวัยที่กำลังอยู่ในช่วงของการทำงานที่รุ่งโรจน์ อัดแน่นด้วยภารกิจสำคัญจนแทบไม่มีเวลาหาความสำราญให้กับชีวิต


ได้เห็นบรรยากาศนั้นแล้วชอบมาก ๆ แล้วให้สะท้อนใจ เมื่อหมดคนยุคที่กำลังเล่นสักว่ากันอยู่นี้แล้ว ประเทศไทยจะยังหาบรรยากาศแบบนี้ในประเทศไทยได้อีกหรือ หรือยังคงมีปฎิภาณกวีได้อยู่หรือไม่ จะยังคงมีคนคิดเขียนบทกวีที่ไพเราะ เล่นดนตรีที่จับใจอยู่หรือไม่ ด้นกลอนสด ประชันกันไปมาในระหว่างที่นั่งล้อมวงสังสรรค์กันยังมีอีกไหม


ความรื่นรมย์ของชีวิตแบบสบาย ๆ อาจไม่มีให้เห็นอีก เพราะไม่มีคนสืบทอด และไม่มีเวลากับเรื่องแบบนี้ หนำซ้ำอาจถือเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องไร้สาระด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่ที่นี่คือสิ่งที่ช่วยจรรโลงจิตใจ จรรโลงโลกให้น่าอยู่ขึ้น


สงสัยเหลือเกินว่า อนาคตของคนไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป เมื่อตั้งต้นที่ปี 2548 ที่เราเริ่มต้นปีด้วยงานค้นหาศพจากเหยื่อสึนามิที่ค้างมาจากปลายปีก่อน ต่อด้วยไฟไหม้ตึกถล่ม รถไฟฟ้าดินชนกัน การฆ่ารายวันในสามจังหวัดภาคใต้ยังไม่ยุติ และกลับเลวร้ายมากขึ้นถึงขั้นยิงถล่มรถนักเรียน


ยังไม่ทันสิ้นเดือน รุ่งสางของวันที่ 26 มกราคม ครบรอบ 1 เดือนเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิเข้ามาโถมทำลาย 6 จังหวัดฝั่งอันดามัน ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุทางน้ำขึ้นอีกครั้งเมื่อเรือสปีดโบท บรรทุกนักท่องเที่ยวกว่า 40 คน กลับจากฟูลมูนปาร์ตี้จากเกาะพงัน เข้ามายังสมุยเกิดพลิกคว่ำ งานนี้มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเสียชีวิตกันอีกแล้ว


เป็นปีที่เริ่มต้นบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองท่ามกลาง คราบน้ำตา ความไม่มั่นคง ในชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งยังคงความรีบเร่งในการทำมาหาเงินกันต่อไปตลอดชีวิต


เป็นไปได้หรือไม่ว่า ความรื่นรมย์ในชีวิตแบบสบาย ๆ อย่างไทยจะไม่มีอีกแล้ว ???