ความจริงที่ "ข้างหลังภาพ"
คอลัมน์/ชุมชน
ปรากฏการณ์งานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี แทบจะหยุดตรึงทุกความเคลื่อนไหวของคนไทยเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเอาไว้
ตั้งแต่เที่ยงวันที่ 12 มิถุนายน 2549 ฝูงชนมหาศาลได้พากันจับจองพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาจนแลดูเหลืองไปทั่วทั้งคุ้งน้ำ เพราะผู้คนที่มาพากันใส่เสื้อเหลืองไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่เพื่อร่วมเฉลิมฉลองงานพิธีนี้
16.00 น.
ผมพบตัวเองอยู่ที่ปากคลองเล็กๆ สายหนึ่ง ตอนนั้น เมฆฝนตั้งเค้าดำทะมึน จนในที่สุด ก็กลั่นตัวลงมาเป็นฝนโปรยปราย ผิวน้ำเจ้าพระยาถูกลมกระหน่ำจนเกิดเป็นคลื่นลูกเล็กๆ กระจายไปทั่วผิวน้ำ
คนที่ริมฝั่งน้ำยังคงอยู่กับที่ หลายคนกางร่ม หลายคนก็หาอะไรมาบังฝนที่มีทีท่าจะตกยาวนาน
คงจะจริงกระมัง กับคำกล่าวที่ว่าการได้เป็นส่วนหนึ่งของ "ประวัติศาสตร์" สามารถทำให้ใครหลายคนมุ่งมั่นอย่างเหลือล้น มุ่งมั่นที่จะไปอยู่ริมน้ำดูเหตุการณ์ที่พวกเขาบางคนบอกว่า ชั่วชีวิตจะมีโอกาสเห็นได้ไม่กี่ครั้ง ขณะที่คนบนฝั่งมุ่งมั่นไม่กลัวฝน คนในน้ำก็ดูเหมือนต้องมุ่งมั่นมากกว่าหลายเท่า
เย็นวันนั้น ท่ามกลางฝนตกหนัก เมื่อผมมองไปที่กลางแม่น้ำ เรือลำหนึ่งที่มีหัวครุฑยุดนาคกำลังโคลงเคลงกลางสายน้ำเชี่ยวกรากและลมแรงจัดที่พัดเรือจนหันเกือบขวางกลางสายน้ำ
ที่กลางลำเรือ ทหารที่น่าจะยศสูงตะโกนให้ฝีพายร่วม 20 จ้วงใบพายเข้าหาฝั่งอย่างแข็งขันท่ามกลางสายฝนที่ทำชุดสวยพวกเขาเปียกโชก
ใช้เลนส์เทเลซูมเข้าไป ก็จะพบว่าเหล่าฝีพายยังคงยิ้ม ยังหัวเราะกันออก
ไม่แน่ อาจเพราะเสียงปรบมือให้กำลังใจเป็นระยะจากประชาชนริมฝั่ง ที่บ้างยกนิ้วโป้งให้ฝีพาย บ้างก็ตะโกนเชียร์ว่าอีกเดี๋ยวฝนจะหยุดตกและขบวนเรือพระราชพิธีจะได้แล่นไปกลางเจ้าพระยาอย่างสง่างาม สมดังที่พวกเขาซ้อมกันมาหลายเดือน
ภาพตรงหน้า ทำให้ผมนึกถึงรอยยิ้มแบบเดียวกันซึ่งอยู่ห่างออกไปจากที่ๆ ผมยืนอยู่หลายร้อยกิโลเมตร
งานของเจ้าของรอยยิ้มไม่ได้อยู่ในน้ำเหมือนทหารเรือเบื้องหน้าผม และห่างไกลจากความรับรู้ของผู้คน
งานพวกเขาอยู่บนฟ้า และรอยยิ้มจะออกมาเมื่อฝนตก
ถึงตรงนี้หลายคนคงเดาออกว่าที่ผมกำลังกล่าวถึงคือ "เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการฝนหลวง" ที่ขะมักเขม้นปฏิบัติงานอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ
ไม่ผิดหรอกครับ ที่จะบอกว่างานของพวกเขาอยู่ไกลจากความรับรู้ของผู้คน เพราะไม่ว่าจะมีทีมข่าวสักกี่ทีมไปทำข่าวเรื่องฝนหลวง ก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องของพวกเขาแบบเจาะลึกเสียที
มองอย่างเป็นธรรม บางสื่ออาจมีข้อจำกัด แต่บางสื่อก็ละเลยที่จะกล่าวบางสิ่งบางอย่างแบบจงใจ
ภาพเรือน้อยลำงามที่ลอยคว้างอยู่เบื้องหน้าผมเพราะพายุฝนฟ้าคะนอง ชวนให้ผมคิดถึงเครื่องบินทำฝนหลวงเก่าคร่ำคร่าลำที่ผมเคยนั่ง
ใช่ วันที่ผมนั่งนั้นมันมุ่งหน้าสู่ก้อนเมฆโดยไม่มีเรดาร์บอกสถานะเมฆฝนคอยสนับสนุน
เจ้าหน้าที่และฝีพายของขบวนเรือพระราชพิธีในแม่น้ำ เมื่อพบพายุฝน และสายน้ำปั่นป่วน พวกเขาสามารถเทียบท่าได้ก่อนจะสายเกินไป และมีคนเห็นความอุตสาหะเหมือนอย่างที่ผมได้บังเอิญเห็น
แต่เจ้าหน้าที่และนักวิชาการบนเครื่องบินทำฝนหลวง มันคนละกรณีโดยสิ้นเชิง
คนจะนึกถึงพวกเขาเมื่อฝนแล้ง และงานพวกเขาก็ไม่มีที่นั่งแถวหน้าหรือแถวหลังให้ดู
คนทั่วไปจะรับรู้ได้ก็เพียงแค่การมองผ่าน "สื่อสารมวลชน" เท่านั้น
แต่เมื่อสื่อไม่นำเสนอ ใครเลยจะทราบถึงชะตากรรมที่พวกเขาต้องแบกรับ
ใครจะรู้บ้างว่า นักการเมืองและข้าราชการไร้จิตสำนึกบางคนถามพวกเขาว่า งบประมาณที่รัฐบาลจะเอาไปทำฝนนั้นจะเอาไปทำไมมากมาย แล้วมันจะแล้งแน่หรือ
แล้วก็ตัดงบประมาณ
จนล่าสุดเมื่อปี 2548 ขณะที่ภัยแล้งเกิดขึ้นทั่วประเทศ นายกฯ ที่คนไทยกลุ่มหนึ่งรักเหลือเกินนั้นก็หนีไปเที่ยวญี่ปุ่น เดือดร้อนพระประมุขต้องลงมาบัญชาการฝนหลวงด้วยพระองค์เอง
ถึงฤดูกาลเลือกตั้ง นักการเมืองทุศีลบางคนก็เอาประเด็นที่ตนเองโทรขอฝนให้ชาวบ้านไปหาเสียง
ใครจะรู้บ้างว่า พวกเขานั้นมีหลักประกันในชีวิตที่น้อยเหลือเกินเพราะต้องขึ้นเครื่องบินกันวันละ 2 เที่ยวนานนับสิบปี ขณะที่อุปกรณ์ต่างๆ เก่าลงๆ
นึกถึงเรื่องนี้แล้วมองไปยังผู้นำฝ่ายบริหารซึ่งถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์ในหลวงเมื่อสองสามวันก่อน เขามีเงินเป็นหมื่นๆ ล้าน แต่ความคิดทำเพื่อประเทศนั้นน่าคิดเหลือเกิน ว่ามีแค่ไหน
นึกถึง กกต.ชุด "พี่หนา" ที่นอกจากไม่ลาออกยังมีข่าวอีกว่าจะขอขึ้นเงินเดือนและออกกฎหมายเพิ่มค่าตอบแทน นึกถึงข่าวโฆษกฝีปากกล้าจากพรรคไทยรักไทยที่ออกมาขู่ว่าถ้าถูกยุบพรรค "แผ่นดินจะลุกเป็นไฟ"
ผมสะท้อนใจกับ "สัตว์การเมือง" เหล่านี้
ผมสะท้อนใจกับสื่อบ้านเราที่เอาเสนอแต่มุมมองด้านเดียวตามที่ผู้มีอำนาจสั่ง
16.45 น.
เหล่าทหารเรือพักกินน้ำ ส่งยิ้มให้ผู้ชมริมฝั่ง หันหัวเรืออันงดงามออกสู่แม่น้ำ แล้วจ้วงพาย
เสียงเห่เรือดังขึ้นตลอดลำน้ำเจ้าพระยา แสงแดดสาดลอดออกจากเมฆฝนที่เพิ่งสลายตัว
ทุกครั้งที่กดชัตเตอร์เก็บอิริยาบถคนเหล่านี้ ผมพบว่ามันมีก้อนอะไรบางอย่างขึ้นมาตรงลำคอ
ความคิดตอนนั้นบอกว่า หัวใจของบุคคลเหล่านี้ ควรแก่การคารวะยิ่งกว่าพวกในทำเนียบและรัฐสภายิ่งนัก
นี่คือความจริงที่ผมพบ
ณ ข้างหลังภาพเหล่านี้