Skip to main content

เธอขยี้หัวใจฉันแตกสลาย

คอลัมน์/ชุมชน

"Heartbreaker"  ร้องโดย   Dionne Warwick


 


I got to say it and it's hard for me


You got me cryin'


Like I thought I would never be


Love is believin' but you let me down


How can I love you when you ain't around


And I


 


Get to the morning and you never call


Love should be everything or not at all


And it don't matter what ever you do


I made a life out of lovin' you


 


Only to find any dream that I follow is dying


I'm cryin' in the rain


I could be searchin' my world


For a love everlasting


Feeling no pain


When will we meet again


 


Why do you have to be a heartbreaker


Is it a lesson that I never knew


Gotta get out of the spell that I'm under


My love for you


 


Why do you have to be a heartbreaker


When I was bein' what you want me to be


Suddenly everything I ever wanted


Has passed me by


This world may end


Not you and I


 


My love is stronger than the universe


My soul is cryin' for you


And that can not be reversed


You made the rules and you could not see


You made a life out of hurtin' me


 


Out of my mind


I am held by the power of you love


Tell me when do we try


Or should we say goodbye


 


Why do you have to be a heartbreaker


When I was bein' what you want me to be


Suddenly everything I ever wanted


Has passed me by


 


Oh, why do you have to be a heartbreaker


Is it a lesson that I never knew


Suddenly everything I ever wanted


My love for you, oh


 


Why do you have to be a heartbreaker


When I was bein' what you want me to be


Suddenly everything I ever wanted


Has passed me by


 


เพลงนี้ยาวสักเล็กน้อย คนรุ่นใหม่คงไม่ค่อยคุ้นแต่อาจได้เคยฟังมาบ้าง เป็นเพลงสมัยราวๆ ปี 1982 คุณป้า    ดิออน วอริค (1)  เธอร้องได้กระหึ่ม ก็พอมีคนฟังบ้างในช่วงนั้น แต่ก็ไม่ใช่เพลงที่คนไทยฟังมากนักเพราะไม่ใช่ร็อคแบบคนไทยชอบ ผู้เขียนชอบเพลงที่ฝรั่งเรียกว่า "elevator music" เพราะเพลงพวกนี้ฟังได้เรื่อยๆ  และมักถูกเปิดให้ฟังในลิฟท์ตามตึกออฟฟิศสูงๆ หรือโรงแรมสูงๆ ในสหรัฐฯ 


 


นักร้องคนโปรดในอดีตของผู้เขียนคือ แบรี่ แมนิโลว์ Barry Manilow (2) ซึ่งมีเพลงโปรดหลายเพลง แต่เป็นที่รู้กันว่าเธอเป็นเกย์สาวที่พรางตาคนมาตลอด แต่ในที่สุดก็ปิดไม่ได้  เพื่อนฝรั่งที่เป็นอาจารย์ที่ปาล์มสปริง แคลิฟอร์เนียบอกผู้เขียนว่าบ้านของแบรี่นี่อยู่แถวๆ บ้านเธอที่ปาล์มสปริง ซึ่งเป็นย่านคนมีจะกิน  ผู้เขียนไปแวะเยี่ยมแถวนั้นเมื่อปี 2545  เธอบอกมาว่าแฟนแบรี่หล่อน่ารักมาก นึกแล้วก็อิจฉาว่าคนรวยๆ นี่มีแฟนเริ่ดๆทั้งนั้น เกย์จนๆ นี่หาแฟนหล่อเริ่ดไม่ค่อยมี ไม่ว่าชาติไหนก็เถอะ


 


ที่เม้าท์จั่วหัวมามากเพราะว่าเกิดอารมณ์เบื่อบรรยากาศเครียดๆ ทำใจไม่ได้กับอะไรบางอย่างตรงนี้ มีระบบแปลกๆ และมีคนที่มีโอกาสหลายคนที่เห็นแก่ได้ แย่งกันกิน ตบตีกันที่ผลประโยชน์ แต่ทำฟอร์มรวยกันเหลือเกิน ต้องมาดูเบื้องหลัง โกหกตอแหลกันจริงๆ ไม่จืดเลย


 


จึงขอคลายเครียดโดยย้อนหลังไปมองอะไรที่มันหวานแหววสักหน่อย สมัยสลัดกางเกงขาสั้น มาใส่ขายาวใหม่ๆ หน้ายังใสๆ ปนสิวเดินเล่นในธรรมศาสตร์ ตอนนั้นไปแอบหลงหนุ่มตี๋ปีหนึ่งเหมือนกัน คนนี้เรียนที่นิติศาสตร์ รู้จักกันเพราะเพื่อนแนะกันไปแนะกันมา สมัยปี 2525 นั้น ธรรมศาสตร์รับเด็กได้แค่ปีละ 2,000 คนเท่านั้น มีอยู่ไม่กี่คณะ เดินไปเดินมาก็หนีไม่พ้นกัน ยิ่งเรียนวิชาพื้นฐานรวมๆ กัน ก็เห็นกันหมด ตอนนี้ก็แก่ๆ กันไปแยะ หลายคนก็ซี้แหงกันไปบ้าง ถือเป็นธรรมดาของโลก


 


เพราะหนุ่มคนนี้ ทำให้ผู้เขียนต้องมานั่งฟังเพลงนี้ ด้วยใจละห้อย ตอนนั้นมีหนังจีนเรื่อง "แปดเทพอสูรมังกรฟ้า" มีหนึ่งในสามพระเอกแสดงโดย ทังเจิ้นเยี่ย  ซึ่งเป็นแฟนในชีวิตจริงของ องเหม่ยหลิง หรืออึ้งย้ง (3) ในสมัยนั้น (เว็บที่ลิ้งค์ไว้ให้มีรูปทังเจิ้นเยี่ยด้วย) หนุ่มคนนี้หน้าเค้าคล้ายๆ กันกับอีตาทังเจิ้นเยี่ย เลยยิ่งหลงเข้าไปใหญ่ เหมือนสาวๆ สุ่มๆ ตอนนี้ที่คลั่งเจ้าชายจากภูฏาน ยังไงยังงั้น


 


คราวนี้คือ ตี๋หนุ่มคนนี้เค้ามองผู้เขียนเป็นทางผ่าน หลังจากที่ได้รู้จักกันอย่างลึกซึ้งกันแล้วในระดับหนึ่ง (อ๊ะเปิดเผย ไปรึเปล่านี่?) เค้าบอกผู้เขียนว่า เค้าไม่ได้คิดไกลขนาดจะผูกพัน (แบบที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า no string attached สมัยใหม่นี่เค้าเรียกกันอย่างถึงพริกถึงขิงว่า "น้ำแตกแล้วแยกกัน")  เมื่อเป็นเช่นนี้ อาการอกหักจึงเกิดขึ้นอย่างจู่โจม ตั้งตัวไม่ติด ขอบอกว่าเล่นเอาผู้เขียนเสียศูนย์เป็นครั้งที่สองในชีวิต แล้วจึงหันมาละห้อยหาครวญครางแบบคนอกหักผ่านเพลงตามประสาเด็กวัย 18 ปีกว่าๆ พอดีเพลงนี้เข้ามาพอดี๊พอดี สมัยนี้เรียกว่า "มันโดนจริงๆ นะนี่" เลยจำได้มาจนวันนี้


 


สมัยนั้นแค่หาซื้อเทปนอกของแท้ยากลำบาก  ไหนจะแพง ไหนจะหายาก เพราะเราเป็นเด็กเงินทองไม่มี รถราก็ไม่มีขับ ดีที่มีรายการเพลง "บิวตี้ฟูล มิวสิค" ของไนท์สปอต โปรดักชั่น มีคุณจิรพรรณ ลิ่มไทยหรือ "พี่สาว"เป็นดีเจคนโปรด (ต่อมาก็มาเป็นหัวหน้างานของผู้เขียนที่บริษัทนี้แหละ เพราะผู้เขียนไปทำงานเป็นประชาสัมพันธ์) ก็ส่งไปรษณียบัตรไปขอเพลงเพราะไม่ได้จัดสด ก็ใจจดใจจ่อทุกคืน ขอเพลงที่ชอบแล้วหวังว่าพี่สาวจะเปิดให้ฟัง ช่วงนั้นตามเพลงฝรั่งพวกอีซี่ลิสเซ็นนิ่งแบบใกล้ชิดเท่าที่ทำได้ เพลงไทยสตริงเริ่มมาแล้วพวก "แกรนด์เอ๊กซ์"  หรือพวก  "รวมดาว"  อะไรแบบนี้ แต่ผู้เขียนชอบเพลงฝรั่งมากกว่า (รวมทั้งผู้ชายฝรั่งด้วย หรือไม่ก็ตี๋ ช่วงนั้นไม่มีคนนิยมตี๋มากนัก ผู้เขียนค่อนข้างนำหน้าไปสักหน่อยที่มานิยมตี๋)


 


เนื้อเพลงนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่า "ฉันทุ่มเทให้เธอทุกอย่าง แต่ในที่สุดเธอก็เปลี่ยนไป แล้วก็ทิ้งฉัน เธอได้ขยี้หัวใจฉันแตกสลาย" ซึ่งก็เหมือนกับเนื้อเพลงอื่นๆ ของคนอกหัก แต่เพลงนี้ตรงชัดเจน อย่างไรก็ตาม ขอสารภาพว่าตอนนั้นฟังรู้เรื่องไม่หมดหรอก แกะเพลงก็ไม่ออกหมดเพราะฟังไม่ค่อยทันบางท่อน สมัยนี้ง่ายกว่าแยะกดเว็บแป๊บเดียวได้หมด นอกเหนือจากฟังไม่ทันแล้ว หลักไวยากรณ์เพลงนี้ก็มีอะไรป่วนๆ เหมือนกัน แต่ไว้คอยมีคอลัมน์เรียนภาษาอังกฤษจากเพลงก่อน  (แบบของท่านศาสตราจารย์ คุณหญิงจินตนา ยศสุนทร หรือ จยส. ใน "สตรีสาร" เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว) อาจเอามาถกกันสนุกๆ เพราะจริงๆ แล้วมีคนเก่งกว่าผู้เขียนเรื่องภาษาอังกฤษอีกแยะ หากทำเป็นเก่งหรือสู่รู้ จะโดนด่าหรือหมั่นไส้เอาง่ายๆ  (เรื่องนี้คนชาติไหนๆ ก็เป็นเหมือนกัน ไอ้โรคแบบนี้โรคหมั่นไส้)


           


วันนี้หันไปมองวันนั้น ผู้เขียนขำตัวเองแบบสุดๆ ขำที่ตนเองเขลาเสียเหลือเกิน วันนี้ไม่มีแล้วกับความรู้สึกแบบตอนนั้น ยอมรับว่าโลกใบนี้ใม่ใช่สีชมพูสุดๆ ในยามมีความสุข หรือสีเทาสุดๆ ในยามขมขื่น โลกใบนี้เป็นโลกที่เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ต่างหาก แต่ไม่ได้จัดจ้าน ไม่ฉูดฉาด ว่าไปแล้วความสดใสไม่มีเหลือ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ไม่กลวง มันเต็มมันแน่น แล้วมันก็โปร่งใสได้ โลกในนี้ไม่ได้เหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวาแบบสมัยก่อนด้วย มันค่อนข้างนิ่ง มันขยับตัวอย่างระมัดระวังมากขึ้น


 


สองสามวันก่อน มีเด็กรุ่นลูกมาปรึกษาเรื่องความรัก เรื่องไอ้โน่นไอ้นี่ ผู้เขียนก็ฟัง ก็ให้มุมมองกับเค้า ไม่ยัดเยียด ไม่ด่วนประเมิน เค้าบอกว่าคุยแล้วสบายใจ เรื่องนี้ผู้เขียนเข้าใจว่าวัยรุ่นไม่ว่ายุคไหนก็ต้องการความเข้าใจ  ยิ่งยุคใหม่นี่เค้าขาดมากกว่ารุ่นผู้เขียน ทั้งที่เครื่องมือสื่อสารของเขามากกว่ารุ่นผู้เขียน แต่ปัจจุบันสังคมทำให้คนเห็นแก่ตัวมากกว่าเดิม ไม่มีความเข้าใจให้กันมากนัก แต่เด็กนั้นเค้าต้องการมากกว่าที่เราคิด


 


บทเพลงที่ผู้เขียนฟังเมื่อตอนเด็กๆ ช่วยเตือนให้ผู้เขียนเข้าใจเด็กยุคใหม่ได้มากขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีช่องว่าง เพราะยังไงๆ ความรู้สึกนึกคิดของแต่ละวัยแต่ละรุ่นแต่ละยุคมันย่อมต่างกัน ทาบทับกันได้ไม่มีสนิท เพียงแต่ว่าวันนี้เราได้ทำหน้าที่ผู้ใหญ่ที่ดีโดยการให้ความรู้สึกที่ดีแก่เขา ให้เขาพัฒนาศักยภาพทางอารมณ์ของเขาขนาดไหน  เราต้องการผู้ใหญ่รุ่นต่อไปที่มีคุณภาพ เพราะเรารู้ดีว่าวันหน้าเราต้องแก่และตายจาก ต้องหมดภาระในสังคมนี้ และภาระเหล่านี้นี่แหละก็ตกไปอยู่ในคนรุ่นหลังเรา ซึ่งเราได้ให้เครื่องมือแก่เขาหรือยังที่จะรับช่วงต่อไป


 


ผู้เขียนไม่อยากให้ใครเป็น "Heartbreaker" ของใคร เหมือนเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ทำหน้าที่ที่ดีแต่ต้องการให้เด็กเคารพนับถือ การเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ดีนั้นเลวร้ายกว่าที่เราคิดมากนัก โดยเฉพาะเมื่อเราจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีของคนรุ่นต่อไป ดังนั้น ผู้ใหญ่ชั่วๆ นี่แหละทำร้ายสังคมมากกว่าที่คิด เพราะจะเป็นตัวอย่างชั่วๆ ให้คนรุ่นต่อไปเอาอย่างนั่นเอง


 


ขอจบดื้อๆ ไม่หวานแหววแล้ว


 






 


(1) http://en.wikipedia.org/wiki/Dionne_Warwick#Hit_singles


(2) http://en.wikipedia.org/wiki/Barry_Manilow


(3) http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9480000063349