Skip to main content

มองปัญหาด้วยศาสนธรรม

คอลัมน์/ชุมชน

ในที่สุด ความรุนแรงใน ๓ จังหวัดภาคใต้ บนพื้นที่สื่อที่ลดระดับลงมาชั่วระยะของวิกฤตการเมือง ก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง และยกระดับความรุนแรงขึ้น ทั้งทางปริมาณและคุณภาพ


 


มีการกระทำที่ประสงค์ต่อชีวิต ตลอดจนทำลายทรัพย์สินทั้งของรัฐและเอกชนอย่างกว้างขวาง กระจายในหลายพื้นที่ ราวกับจะต้อนรับการกลับมาของรักษาการนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เพิ่งผ่านวิกฤตทางการเมืองครั้งใหญ่มาหมาดๆ


 


แต่อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการทุกครั้งและทุกระดับ นับตั้งแต่การทำร้าย "ครูจุ้ย" นางสาวจูหลิง ปงกันมูล จนถึงการลอบทำร้ายและลอบวางระเบิดตามสถานที่ต่างๆ จำนวนหลายสิบจุดในหลายอำเภอของ ๓ จังหวัด ก็ยังปราศจากการ "ประกาศความรับผิดชอบ" ตามธรรมเนียมหรือวิธีปฏิบัติของ "การก่อการร้าย" ที่เคยกระทำสืบต่อกันมา


 


ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ได้แต่สันนิษฐาน ว่า "ฝ่ายตรงข้าม" กับตน "อาจจะ" หรือ "น่าจะ" เป็นกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ อย่างแทบปราศจากพยานหรือหลักฐานใดๆ นอกไปเสียจากรายชื่อบุคคลสูญหาย (ที่รัฐอ้างว่าหลบหนี)จำนวนหนึ่ง ซึ่งมักถูกระบุว่าเป็นผู้บงการ หรือเป็นผู้เกี่ยวข้องระดับแกนนำ ซึ่งออกจะเลื่อนลอยและขาดความน่าเชื่อถือในหลายด้าน


 


ในแวดวงผู้สนใจข้อมูลข่าวสาร หลายต่อหลายคนจึงเริ่มตั้งคำถาม และแสดงความกังขาต่อรัฐยิ่งขึ้น ว่าตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ รัฐบาล ฯพณฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รู้เป้าหมายจริงๆ หรือไม่ ว่ากำลังต่อสู้กับใครกันแน่


 


ยิ่งไปกว่านั้น บางคนถึงกับกล่าวว่า โดยลักษณะเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ ว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเสียเอง เพียงเพื่อต้องการเอาหน้าเอาตากับมหาอำนาจ ว่ามีการจัดการกับอิสลามและผู้ก่อการร้ายอย่างจริงจังและรุนแรง เช่นเดียวกับที่มหาอำนาจบางประเทศนิยมปฏิบัติ เพื่อแลกกับผลประโยชน์และอภิสิทธิ์ทางการค้าของผู้นำรัฐกับเพื่อนบางกลุ่มธุรกิจ ตลอดจนกล่าวว่า ความรุนแรงแถบชายแดนใต้จะเป็นเหตุให้ประชาชนอีกกว่าเจ็ดสิบจังหวัดเกิดความรู้สึกมีศัตรูร่วมและยอมถือหางฝ่ายรัฐบาล ฯลฯ


 


เพราะนับวันที่ความเสียหายจะทวีขึ้น ความสูญเสียจะมากขึ้น แต่จนแล้จนรอด คนที่ติดตามข่าวจากสื่อสาธารณะ ก็ไม่สามารถทราบได้สักที ว่าศัตรูที่แท้จริง หรือที่รัฐกำลังปราบปราม เป็นใครหรือองค์กรใดบ้าง และบุคคลหรือองค์กรเหล่านั้นมีวัตถุประสงค์เช่นไรเป็นเป้าหมาย หรือความต้องการสูงสุด


 


พร้อมๆ กับบรรยากาศอึมครึม และสับสนอลหม่านนี้เอง ประเทศไทยก็ต้องทำใจหรือจำใจยอมรับความสูญเสียของประชากร ไม่ว่าจะเป็น "โจรร้าย" หรือ "เจ้าหน้าที่รัฐ" และ "ประชาชนทั่วไป" ทั้งที่บริสุทธิ์และเกี่ยวพันกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มาแล้วนับร้อยนับพันคน ตลอดจนต้องยอมรับความสูญเสียด้านงบประมาณมาแล้วเป็นจำนวนมหาศาล ชนิดที่เกินกว่าคนทั่วไปจะประเมินได้


 


นอกจากนั้นก็ยังมี "ต้นทุนที่มองไม่เห็น" อีกเป็นจำนวนมาก เช่น เวลาและโอกาสของการพัฒนา หรือการลงทุน ที่เสียไป จากการใช้งบประมาณและจำนวนคนซึ่งจำต้องเกี่ยวข้องกับกรณีนี้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง


 


และในทำนองเดียวกันกับต้นทุนที่มองไม่เห็นข้างต้น บรรยากาศแห่งความสมานฉันท์ บรรยากาศแห่งความเข้าใจ และความร่วมมือระหว่างศาสนา ของผู้นับถือพุทธและผู้เป็นมุสลิม รวมถึงสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณี ที่เคยถักทอโยงใยกันมานับสหัสวรรษ ก็ต้องหยุดชะงักและพังทลายลงไปจนแทบหมดสิ้น


 


ขณะเดียวกัน ผู้รับผิดชอบในระดับบริหารสูงสุดและรองลงมาประดามี ก็ทำได้เพียงเล่นลิ้นและตีฝีปาก ตลอดจนขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ ทั้งรักษาการนายกรัฐมนตรี รักษาการรองนายกฯ และรักษาการใหญ่ๆ น้อยๆ ที่รายล้อมอยู่รอบข้าง รวมทั้งข้าราชการระดับสูง ที่ต่างก็ทราบกันดี ว่าเมื่อนักการเมืองจากพรรคใหญ่ไร้น้ำยาหรือสิ้นความนิยมลงแล้ว ก็ยากที่จะให้คุณให้โทษตนอย่างไร้เหตุผลดังเดิมได้ จึงพากันเช้าชามเย็นชามจนเข้ารกเข้าพงกันไปหมด


 


ทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามานี้ ดูจะมีจุดรวมอยู่ที่การบริหารงานอย่างล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบเป็นด้านหลัก ที่ไม่อาจแก้วิกฤติ หรือแม้แต่ระบุปัญหาและสาเหตุของปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นได้


 


นิทานเรื่องพับนก และเรื่องราว ตลอดจนเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งในแง่การบริหารงานรัฐล้มเหลว การขจัดอิทธิพลและความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนอย่างไม่ประสบความสำเร็จ คงบอกกล่าวกันไปปากต่อปาก และใจต่อใจ ต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


 


เช่นเดียวกับนิทานเรื่องอัศวินม้าขาวเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เรื่องสงครามยาเสพติด และสงครามกับความยากจน ที่บางคนสัญญาไว้ด้วยลมปาก แต่ไม่มีปัญญาแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ หรืออะไรต่อมิอะไร ทำนองนี้-ประมาณนี้ อีกเป็นจำนวนมาก


 


บางคนกล่าวว่าทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นส่วนหนึ่งของความล้มเหลวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคไทยรักไทย บางคนบอกว่าเป็นความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับนักธุรกิจการเมืองร่วมก๊วน


 


ในฐานะศาสนิกชน สิ่งที่จะเกิดขึ้นทางการเมือง เศรษฐกิจ การเมือง นับแต่นี้ คงต้องอาศัย สติ ปัญญา สัมปชัญญะ และสมาธิ เป็นอย่างยิ่ง ในการที่เราจะฝ่าข้ามวิกฤติด้วยจิตที่โปร่งเบา และเข้าใจทุกอย่าง... อย่างที่ "ควรจะเป็น" หรืออย่างที่ "ถูกต้องตามกฏธรรมชาติ" เพื่อสังคมที่สงบเย็นและเป็นสุขไปพร้อมๆ กัน


 


"ศาสนธรรม" จะมีค่าก็ตรงนี้ ตรงที่ช่วยให้เรา "สงบเย็น" และ "เป็นสุข" ร่วมกับเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในโลกสันนิวาสอันเร่าร้อนและรุนแรง