"ดวงตา" ของผู้ที่ได้ชื่อว่า "ศิลปิน"
คอลัมน์/ชุมชน
1
เย็นวันหนึ่งกลางเดือนมีนาคม 2549
ท่ามกลางคลื่นมหาชนจำนวนมากที่ออกจากบ้านมารวมตัวกันที่บนถนนราชดำเนินนอก ผมพบชายคนนี้บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ เขานั่งอยู่บนพื้นยางมะตอยซึ่งกำลังอุ่นได้ที่หลังจากอาบแสงอาทิตย์อันร้อนแรงมาตลอดทั้งวัน
เขากำลังก้มๆ เงยๆ ตวัดปลายดินสอไปบนกระดาษ
ชายหญิงมากหน้าหลายตาพากันแวะเวียนเข้ามาดูผลงานที่เขาเสร็จสิ้นแล้วเป็นระยะๆ
* * * *
ภาพโดย ประเวช ตันตราภิรมย์
ย้อนเวลาไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน . เกียรติศักดิ์ ผลิตาภรณ์ เดินออกจากบ้านย่านเพชรเกษม หอบอุปกรณ์วาดเขียนจำนวนหนึ่งและสังขารที่อยู่ในภาวะไม่ค่อยสมบูรณ์นัก ขึ้นรถประจำทางสายหนึ่งมุ่งหน้าเข้ามายังพื้นที่ๆ สถานการณ์ทางการเมืองร้อนระอุมากที่สุดของเมืองไทย
ถนนราชดำเนินนอก
เป็นเวลาร่วม 15-16 วันแล้ว ที่คนเรือนแสนอันมีแกนนำคือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมานั่งๆ นอนๆ ล้อมทำเนียบรัฐบาลเพื่อกดดันให้ทักษิณ ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
หลายสิบวันที่ผ่านมา ทุกคนในที่นั้นเหนื่อยอ่อนจากความร้อน ความหิว และอาการปวดเมื่อยที่เข้ามาเยือนพวกเขาหลังจากการชุมนุมยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน
เขาเองก็มิได้ต่างจากคนอื่น ความร้อน ความหิว และความเมื่อยล้า ทำให้เขาต้องกลับไปพักผ่อนที่บ้านและรวบรวมกำลังออกมาใหม่ ถึงวันนี้เป็นครั้งที่สิบสามสิบสี่แล้ว
"พี่ทำไมถึงมาที่นี่" ใครคนหนึ่งถามขึ้น
"ผมมาเพื่อที่จะบันทึกบางสิ่งบางอย่างที่สำนักข่าวทั่วไปไม่บันทึก" เขาเอ่ยขึ้น
มือปาดเหงื่อ ก่อนจะหันมาหาเจ้าของคำถาม
"ผมเชื่อว่าชัยชนะจะต้องมาถึง"
เขาละมือจากดินสอเป็นการชั่วคราวเพื่อหยุดพัก เหม่อมองไปข้างหน้า
"เห็นคนที่นอนอยู่ริมถนนตรงนั้นไหม เห็นคนที่กำลังให้นมลูกตรงนั้นไหม เห็นนักข่าวที่ทำงานอยู่ตรงนั้นไหม เห็นลุงคนนั้นที่กำลังแจกข้าวกล่องไหม
"ผมเห็นภาพชีวิตคนที่เสียสละเหล่านี้"
2
ย้อนกลับไปปี 2524 เกียรติศักดิ์ ผลิตาภรณ์ คือศิลปินที่ได้ชื่อว่าเป็นมือ "ล่ารางวัล" ตัวฉกาจคนหนึ่งของเมืองไทย เขาเพิ่งได้รับรางวัลเกียรตินิยมอันดับ 3 "พู่กันทองคำ" อันเป็นรางวัลพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาหมาดๆ เนื่องในงานฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี เส้นทางสายชีวิตของเขาดูจะรุ่งโรจน์โชติช่วง
หากแต่วันหนึ่งโรคร้ายที่ชื่อว่า "เบาหวาน" ก็เข้าคุกคามเขาอย่างรุนแรง ในขณะที่ทำงานเพื่อศาสนาที่เขาศรัทธาแถบบ้านเกิด
ศิลปินที่ใช้สีน้ำได้เก่งฉกาจที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทยต้องหายหน้าหายตาไปจากวงการอยู่พักหนึ่ง อย่างน้อยก็จากประชาชนคนธรรมดาที่ชอบงานสีน้ำ จนผมพบเขาที่กลางถนนราชดำเนินนอกในวันนั้น ในวันที่หลายชีวิตไม่ว่าจะเป็นพนักงานบริษัท ตำรวจ แม่ค้า นักเรียน ประชาชน แพทย์ หรือแม้กระทั่งราชนิกูลกำลังเล่นบทตัวละครในเวทีประชาธิปไตยกันอย่างมีสีสัน
ใช่ เขากำลังเล่นบท "ศิลปิน" ที่ทำงาน "ศิลปะเพื่อชีวิต"
ทำหน้าที่ ที่ผู้ซึ่งได้ชื่อว่า "ศิลปิน" ควรกระทำในเวลาที่บ้านเมืองเกิดปัญหา
ไม่ใช่ศิลปินนักร้องบางคนที่นอนเลี้ยงไก่ชนอยู่บ้านแล้วรอให้เหตุการณ์จบลง ก่อนออกอัลบั้มมาด่ารัฐบาลเมื่อเห็นว่ากระแสขับไล่มาแรงโดยมีข้อแก้ตัวน้ำขุ่นๆ
ดินสอหนึ่งด้าม กระดาษวาดเขียน และสายตาอันฝ้าฟางเพียงหนึ่งข้าง คืออุปกรณ์ทั้งหมดของเขา ผมเฝ้ามองอยู่เงียบๆ หลังจากบทสนทนาจบลง และก็รับทราบว่า ตาของเขากำลังจะบอดในเวลาอันใกล้นี้ และนี่คืองานในช่วงท้ายๆ ชีวิตของเกียรติศักดิ์
งานดรออิ้งที่ออกมาจากใจของเขา วางโชว์อยู่ข้างๆ หลายสิบแผ่น บางแผ่นก็มีผู้มาขอซื้อไป เจ้าตัวบอกว่าตั้งใจจะเก็บเอาไว้เพื่อบอกเล่าให้อนุชนรุ่นหลังรับทราบ
"อธรรมต้องแพ้" เขาให้กำลังใจผู้ชุมนุมที่มานั่งฟัง
3
เกียรติศักดิ์ มิได้มีฐานะดีมากมาย ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการใดๆ ของรัฐบาลทักษิณ และไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องพาเอาร่างกายที่ป่วยไข้ออกจากบ้านมานั่งตากแดดตากลมบนถนน ต้องเสียเงินค่ารถ ค่าอุปกรณ์ รวมถึงแรงกายแรงใจอันประเมินค่ามิได้เพื่อที่จะมาเข้าร่วมการชุมนุมขับไล่คนๆ หนึ่ง ท่ามกลางข่าวลือที่ว่ารัฐบาลจะใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมตลอดเวลา
เขามาอย่างสงบ และคนที่มาชุมนุมราชดำเนินกลางแห่งนี้ก็ล้วนแต่มาด้วยความสงบ
ไม่ได้มีใครจ้างเหมือนที่นักการเมืองและสื่อมวลชนทุศีลบางคนกล่าวออกมาม็อบนี้ถูกจ้างมา
ทุกคนมา เพราะเขาเห็นภัยจากคนๆ หนึ่งที่ใช้การเมืองแบบการตลาดหลอกลวงชาวบ้านในชนบทที่มีแต่ความจริงใจ และมีแต่น้ำใจให้กับคนที่ช่วยเหลือพวกเขาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
เกียรติศักดิ์มา เพราะรู้สึกว่าเวลานั้น ห้องทำงานศิลปินควรย้ายจากโต๊ะวาดเขียนและผืนผ้าใบในห้องมาเป็นท้องถนนที่ประชาชนผู้ข้างสิ่งที่ถูกต้องต้องการ "กำลังเสริม"
มองเข้าไปยังแววตาชายคนนี้
ทุกนาทีที่ผ่านไป ตาเขาจะฝ้าฟางลงๆ
ใช่ วันหนึ่งเขาอาจมองไม่เห็นอะไรอีก
แต่ "ดวงตาแห่งใจ" ของเขานั้น กลับเบิกจ้า และสว่างไสวยิ่งนัก
- - - - -- - - - -
* เกียรติศักดิ์ ผลิตาภรณ์ พื้นเพเดิมเป็นชาวลำปาง จบการศึกษาจากวิทยาลัยเพาะช่าง และจบพระคริสตธรรมที่ เชียงใหม่ เคยรับรางวัลทางศิลปะเช่น ปี 1982 รางวัลเกียรตินิยม อันดับ 3 งานพู่กันทอง จัดโดยธนาคารกสิกรไทย โอกาสฉลองกรุงเทพฯ 200 ปี ปี 2002 รางวัลยอดเยี่ยมอันดับหนึ่ง ภาพประกวดหัวข้อ "หัวอกพ่อผู้ทรงพระชนมายุยิ่งยืนนานไชโย" หอศิลป์ ปัจจุบันมีบุตรธิดา 3 คน