"วันนี้" ที่ "ถูกลืม"
คอลัมน์/ชุมชน
24 มิถุนายน 2549 8.30น.
มันเป็นเวลาเช้าตรู่ของวันหยุดสุดสัปดาห์ปลายเดือนมิถุนายน
ผมพบตัวเองนั่งสะลึมสะลืออยู่บนรถประจำทาง
รถไม่ติด เพราะเป็นเช้าวันเสาร์ มันพาผมมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ
ผ่านสะพานปิ่นเกล้า จนในที่สุด ผ่าน "อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย"
ผมหายง่วง เพราะนึกอะไรบางอย่างออก มองออกไปนอกหน้าต่าง คิดถึงเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 74 ปีก่อน
คิดถึง ชายคนหนึ่ง หญิงคนหนึ่ง และวันๆ หนึ่ง
1
16 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2471 4 ปี ก่อนเหตุการณ์อภิวัฒน์สยาม
ปรีดี พนมยงค์ วัย 28 ปี เข้าพิธีสมรสกับนางสาวพูนศุข ณ ป้อมเพชร์ ขณะรับราชการเป็นผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย (ปัจจุบันคือคณะกรรมการกฤษฎีกา) และสอนหนังสือที่โรงเรียนกฎหมายกระทรวงยุติธรรม (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์)
เวลานั้น แผนอภิวัฒน์สยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยของเขาและพวกเป็นรูปร่างขึ้นในระดับหนึ่งแล้ว
เหลือเพียงแต่ "รอเวลา" เท่านั้น
พูนศุข ณ ป้อมเพชร์ วัย 17 ปี อาจไม่ทราบเลยว่า การร่วมชีวิตกับชายผู้นี้คือการเริ่มต้นก้าวย่างบนเส้นทางสายประวัติศาสตร์
" นายปรีดีแก่กว่าฉัน 11 ปี พ่อของฉันและพ่อของนายปรีดีเป็นญาติกัน จึงฝากฝังบุตรชายให้มาเรียนกฎหมายในกรุงเทพฯ นายปรีดีนี่มาอยู่ที่บ้านจึงรู้จักกันตั้งแต่ฉันอายุ 9 ขวบ พอเรียนจบได้เป็นเนติบัณฑิตแล้ว ก็ได้ทุนไปเรียนต่อทางกฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นเวลาเจ็ดปีพอนายปรีดีกลับมา ฉันอายุ 16 ปี
" ตอนที่นายปรีดีพาพ่อจากอยุธยามาขอหมั้น ฉันยังไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ตามปรกติ ตอนนั้นฉันเรียนอยู่ Standard 7 คุณพ่อฉันก็ยอม และไม่ได้เรียกร้องอะไรนอกจากแหวนเพชรวงหนึ่ง "
ที่เรือนหอย่านสีลม ชีวิตสงบสุขของทั้งคู่ดำเนินไปตามอัตภาพ หน้าที่ราชการปรีดีก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ ท่านผู้หญิงเล่าถึงชีวิตช่วงนั้นไว้ว่า "สมัยนั้นมีดอกเตอร์ไม่กี่คน ผู้ที่มารดน้ำในงานแต่งงานบางท่านก็อวยพรว่า จะโชคดีมีโอกาสเป็นเสนาบดีแน่นอน ตอนนั้นนายปรีดีเพิ่งได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็นรองอำมาตย์เอกหลวงประดิษฐ์มนูธรรม "
"เมื่อนายปรีดีรับเงินเดือนมา ได้มอบให้ข้าพเจ้าทั้งหมดโดยไม่หักไว้ใช้ส่วนตัวเลย เนื่องจากนายปรีดีมีรายได้พิเศษจากค่าสอนและโรงพิมพ์ส่วนตัว "
ที่จังหวัดพระนคร ชีวิตสำหรับสามีภรรยาคู่หนึ่งดำเนินไปอย่างสวยงามและราบรื่น
แต่ถ้ามองไปที่ชนบทส่วนใหญ่ของสยามสมัยนั้น สถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำอันเป็นผลจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้สร้างความลำบากยากแค้นให้คนทั่วประเทศ รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของรัชกาลที่ 7 ในขณะนั้นได้พยายามดำเนินการลดทอนรายจ่ายลง เช่น ปลดข้าราชการออกและตัดรายจ่ายส่วนพระองค์
แต่นั่น..มิได้หมายความว่าสามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด ทั้งนี้ เพราะต้นตอปัญหาอีกส่วนเกิดจากตังระบอบการปกครองเอง โดยหนึ่งในข้อเสียที่ร้ายรงที่สุดก็คือ การจำกัดตำแหน่งสำคัญไว้ให้คนกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีเชื้อเจ้าโดยมิได้พิจารณาบุคคลตามความสามารถ คนดีน้อยคนนัก จะมีโอกาสเสนอความคิดเห็นในการดูแลบ้านเมืองและร่วมบริหารงานท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติของประเทศในเวลานั้น
สามีของท่านผู้หญิงพูนศุขนั้น ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เห็นถึงปัญหาดังกล่าว
เพราะเขามาจากครอบครัวชาวนา และซาบซึ้งชะตากรรม "โง่ จน เจ็บ" ของอาชีพที่เป็นกระดูกสันหลังของประเทศตั้งแต่เด็ก โดยในช่วงอายุ 11 ขวบ ปรีดีได้รับทราบเหตุการณ์ที่เรียกว่า "กบฎ ร.ศ.130" ซึ่งคณะผู้ก่อการเวลานั้นถูกจับได้ก่อนทำการสำเร็จ
เขาได้ยินคำว่า "ประชาธิปไตย" ครั้งแรก และนับแต่นั้น หน่ออ่อนความคิดอภิวัฒน์ก็งอกงามในใจของเขาเงียบๆ แม้ว่าต่อมา เขาจะสามารถสอบได้ทุนไปเรียนต่อทางกฎหมายที่ฝรั่งเศสและมีอนาคตอันสดใสรออยู่เบื้องหน้า แต่เขาก็ไม่เคยลืมเรื่องนี้ โดยได้วางแผนกับนักเรียนไทยที่มีความรักชาติทำการปฏิวัติสยามให้ "อำนาจ" มิได้อยู่ที่คนๆ เดียวอีกต่อไป
แต่ต้องตกอยู่กับประชาชนคนสามัญและเป็นอำนาจที่สามารถตรวจสอบได้
เป็น "ประเทศ" ที่เป็นของ "ประชาชน"
เป็น "ประเทศ" ที่ผู้ทุกข์ยากมีโอกาสใช้ตัวแทนของตนเองเข้าไปบริหารและแก้ไขปัญหาของประเทศ (แต่ในเวลาต่อมาตัวแทนเหล่านั้นส่วนมากหลงระเริงอำนาจจนทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาในตัวนักการเมือง และลามไปถึงระบอบประชาธิปไตยซึ่งโดยตัวของมันเองนั้นจะทำงานได้ดีถ้ามีนักการเมืองที่ดี-ผู้เขียน)
การดำรงอยู่อย่างมีความสุขเพราะอนาคตทางราชการมีทีท่ารุ่งเรืองจึงมิใช่เป้าหมายของปรีดี
ในเวลาต่อมา การอภิวัฒน์ 2475 จึงเกิดขึ้น
"อภิวัฒน์" ที่มีความหมายว่า "เปลี่ยนแปลงไปสู่ความเจริญก้าวหน้า"
มิใช่ "ชิงสุกก่อนห่าม" แบบที่นักการเมือง หรือนักประวัติศาสตร์บางคนกล่าวถึงเหตุการณ์นี้อย่างดูถูกเหยียดหยามเจตนารมย์ผู้ก่อการ ด้วยปัจจุบันมีหลักฐานแล้วว่าหากการปฏิวัติ 2475 กระทำการไม่สำเร็จ ประเทศไทยจะมีระบอบการปกครองอีกแบบหนึ่ง
สุพจน์ ด่านตระกูล เคยปาฐกถาในเรื่องดังกล่าวไว้เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2540 โดยสรุปว่า
"พระปกเกล้าฯ ทรงเคยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฝรั่งว่า ในเรื่องที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญนั้น ทรงเคยปรึกษากับฟรานซิส บี แซร์ (พระยากัลยาณไมตรี--ที่ปรึกษาชาวต่างประเทศ) เมื่อ พ.ศ.2469 มาแล้วครั้งหนึ่ง จนถึง พ.ศ. 2475 จึงรับสั่งให้พระยาศรีวิศาลวาจา ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศ และนายเรมอนต์ บี สตีเวนส์ ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ ร่างรัฐธรรมนูญถวายและกำหนดกันว่าจะพระราชทานในวันจักรี 6 เมษายน 2475 "
ทั้งนี้ ยังมีการบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่า แผนพระราชทานรัฐธรรมนูญครั้งนั้นถูกทัดทานจากพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่หลายท่าน จนต้องยกเลิกไป โดยที่หลายคนอาจเข้าใจว่า เนื้อหารัฐธรรมนูญฉบับที่จะพระราชทานนั้นคงจะเหมือนกับที่คณะราษฎรจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ในภายหลัง หรือน่าจะดีกว่า
แต่ความจริงนั้นร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว เป็นเพียงการจัดรูปแบบการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใหม่เท่านั้น
"ฝ่ายบริหาร ให้มีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินแทนองค์พระมหากษัตริย์ ให้นายกรัฐมนตรี มีสิทธิเลือกคณะรัฐมนตรี แต่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้เลือกและแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีโดยพระองค์เองตามพระราชอัธยาศัย นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นสมาชิกสภาโดยตำแหน่ง จะทำหน้าที่บริหารโดยมีกำหนดวาระ แต่พระมหากษัตริย์อาจทรงแต่งตั้งใหม่ หรือพระมหากษัตริย์จะทรงให้ออกเมื่อใดก็ได้ "
ไม่นับสมาชิกสภาซึ่งถูกระบุว่าส่วนมากมาจากการแต่งตั้ง กึ่งหนึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม พระมหากษัตริย์จะทรงยุบสภาเมื่อใดก็ได้ จะทรงทำสัญญากับต่างประเทศได้โดยไม่ต้องผ่านสภา ฯลฯ (การเมือง การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย--ชัยอนันต์ สมุทวนิช)
ทั้งนี้ยังปรากฎบันทึกของทูตญี่ปุ่นในขณะนั้นที่ระบุความเห็นว่าหากไม่เกิดการปฏิวัติขึ้นในตอนนั้น ประชาธิปไตยของไทยก็ยังไม่อาจเริ่มต้นเดินหน้าไปได้
2
23 มิถุนายน 2475
พูนศุข พนมยงค์ พร้อมลูกๆ ไปส่งปรีดีที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ขากลับแวะจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อเยี่ยมเพื่อน ก่อนจะเดินทางกลับบ้าน
ตกดึก พูนศุขหลับไม่สนิทนัก เพราะลูกชาย (ปาล พนมยงค์) ร้องไห้ตลอดเวลา
ท่านผู้หญิงเปิดเผยกับวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ บก.สารคดี คราวสัมภาษณ์ถึงสถานการณ์หนนั้นว่า
"รุ่งขึ้นวันที่ 24 มิถุนายน จำได้ว่าท้องฟ้ามืดครึ้ม มีฝนตกปรอยๆ ตามปรกติเราจะถ่ายรูปลูกๆ เป็นระยะ ลูกปาลอายุครบ 6 เดือน จึงเอามาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ อุ้มลงไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกที่ตึกใหญ่ของคุณพ่อ สักครู่ท่านเจ้าพระยายมราชบ้านอยู่ศาลาแดงที่เป็นดุสิตธานีเวลานี้ ท่านเป็นญาติผู้ใหญ่ เป็นน้าของคุณแม่ ฉันเรียกท่านว่าคุณตา ก็มาที่บ้านป้อมเพชร์ ท่านถามว่ารู้เรื่องมั้ย เกิดเรื่องใหญ่ คนเรือของท่านที่อยู่ใกล้วังบางขุนพรหมมารายงานท่านว่า ที่วังบางขุนพรหมมีทหารมาจับทูลกระหม่อมชาย "
ในตอนนั้นที่ใจกลางเมืองหลวง ปฏิบัติการจับรัฐมนตรีคนสำคัญของรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้เริ่มขึ้น บรรยากาศทั่วพระนครตกอยู่ใต้ความตึงเครียด ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาก้าวออกมาอ่านแถลงการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎรหน้าแถวทหารจำนวนมาก เกิดการเจรจาต่อรองระหว่างผู้ก่อการกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7 ) ซึ่งขณะนั้นประทับอยู่ที่วังไกลกังวล
แต่ด้วยยุคนั้น "สีลม" เป็นชุมชนห่างไกลใจกลางพระนคร เต็มด้วยป่ารก ถนนก็เป็นเพียงทางดินเล็กๆ ต้องรอจนเวลาล่วงเลยมาถึง 5 ทุ่ม ท่านผู้หญิงจึงทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด เพราะมีทหารสองคนมาที่บ้าน
" บอกว่าจะมาขอเครื่องแต่งกายนายปรีดี ขอเสื้อกับผ้าม่วง เพราะว่าพรุ่งนี้จะมีประชุมเสนาบดี แล้วก็ขออาหาร ก็เลยรู้ว่านายปรีดีเป็นผู้ก่อการคนหนึ่ง"
ในที่สุด รัชกาลที่ 7 ก็ทรงยินยอมรับเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ หลังจากนั้น 1 อาทิตย์มีจดหมายฉบับหนึ่งถูกส่งมาถึงท่านผู้หญิง
ในจดหมายลงวันที่ 2 กรกฎาคม 2475 มีเนื้อความว่า
"ขอโทษอย่างมากที่ต้องปกปิดในวันนั้นว่าจะไปอยุธยา เพราะถ้าบอกความจริงก็เกรงว่าจะมาจากบ้านไม่ได้ และผลร้ายจะเกิดขึ้นเป็นแม่นมั่น คือเจ้าหน้าที่ได้คิดจะทำการจับกุมฉันในวันรุ่งขึ้นเวลา 10 นาฬิกา เท่าที่ได้ทราบมา ที่ไม่บอกมาแต่ต้นก็เพราะกลัวว่าจะตกใจ และเมื่อ(ถอดความไม่ออก) ข่าวตกใจแพร่งพรายออกไปก็จะเสียการที่คิดไว้ทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างก่อนลงมือกระทำก็ได้เป็นห่วงและคิดไว้ว่าถ้าตายลงไป ก็คงพอมีเงินเลี้ยงลูกและเธอโดยมีประกันชีวิตและเงินสดในธนาคารที่ได้โอนให้เมื่อก่อนหน้ากระทำการสักสองสามวัน (น่าจะเป็นวันที่ 22 หรือ 23 มิถุนายน 2475 ผู้เขียน)"
ในจดหมายกล่าวถึงแผนจะนำเงินส่วนต่างๆ มาจุนเจือซึ่งแสดงถึงความเป็นห่วงของปรีดีที่มีต่อหลังบ้าน ในขณะที่ทำตามอุดมคติสร้าง "ชาติ" ที่ประชาชนเป็นเจ้าของ
ชาติที่ประชาชนไม่ว่ายากดีมีจนสามารถมีส่วนร่วมในการปกครอง มีสิทธิพูด มีสิทธิคิด มีสิทธิเขียน
ซึ่งสำหรับท่านผู้หญิงเองแล้ว ก็ได้สนับสนุนมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน เพราะปู่ท่านนั้นเป็นหนึ่งในคณะบุคคลที่ยื่นคำกราบบังคมทูลขอเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5
"ตอนนั้นกรมพระนเรศวรวรฤทธิ์ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ เป็นคณะราชทูตไทยในอังกฤษ และปู่ของฉันคือหลวงวิเสศลาลีเป็นผู้ช่วยทูต พวกนี้มีจดหมายกราบบังคมทูลขอให้ทรงเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ และให้มีสภาในการปกครองประเทศ แต่ในหลวงท่านก็ไม่เปลี่ยน แต่ท่านไม่กริ้วนะ ก็นับว่าเป็นความกล้าหาญ มีเจ้านายกับข้าราชการรวม 11 คน กราบบังคมทูลเพื่อเห็นแก่ความเจริญของบ้านเมือง "
3
24 มิถุนายน 2549 8.30น.
มันเป็นเวลาเช้าตรู่ของวันหยุดสุดสัปดาห์ปลายเดือนมิถุนายน
ผมพบตัวเองนั่งสะลึมสะลืออยู่บนรถประจำทาง
รถไม่ติด เพราะเป็นเช้าวันเสาร์ มันพาผมมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ
ผ่านสะพานปิ่นเกล้า ผ่าน "อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย"
ผมหายง่วง มองออกไปนอกหน้าต่าง คิดถึงเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 74 ปีก่อน
คิดถึง ชายคนหนึ่ง หญิงคนหนึ่ง เกตุการณ์เหตุการณ์หนึ่ง และคิดถึงวันสำคัญวันหนึ่ง
วันสำคัญ ที่สังคมไทยซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตย "ลืม" ไปเรียบร้อยแล้ว .
บรรณานุกรม
วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์. ท่านผู้หญิง พูนศุข พนมยงค์ ช่วงหนึ่งแห่งชีวิต. LIFE บทสัมภาษณ์คัดสรร 20 ปี สารคดี (กรุงเทพฯ : OPEN Books) 2548.