คิทเช่น
คอลัมน์/ชุมชน
น้ำตาฟ้า
คิทเช่น โดย บานาน่า โยชิโมโต
แปลโดย เพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย มิถุนายน 2544 สำนักพิมพ์ อิมเมจ
ทุกครั้ง ซึ่งไม่บ่อยนักหรอกที่ความเศร้าหมองเข้าจู่โจมหัวใจอย่างไม่มีทางต้านทาน ฉันมุ่งหน้าสู่ "ห้องน้ำ" พื้นที่เล็ก ๆ ที่มีไว้เพื่อรองงรับ ทุกข์ และสิ่งสกปรก โสโครกที่เราต้องการชำระล้างออกไปให้พ้นร่างกาย หากก็ยังพยายามเก็บงำไว้ในใจอย่างไม่ยอม หรือไม่อยากชำระล้าง
ล็อกประตูปิดสนิทแน่น ไม่มีใครจะมาล่วงล้ำโมงยามแห่งการชำระความหมองเศร้าของฉันได้ ฉันคว้าขวดน้ำยาล้างห้องน้ำขึ้นมาถือไว้ในมือ หมุนเกลียวเปิดฝา กลิ่นน้ำยาฉุนกึกจนแสบจมูก ฉันเพ่งมองอย่างตั้งใจไม่นำพาต่อกลิ่นอันรุนแรงนั้น ค่อย ๆ ยกมันขึ้นช้า ๆ ก่อนจะเทราดลงไป ..บนพื้นห้องน้ำ แล้วคว้าแปรงมาขัด ถู บ้างออกแรง บ้างรามือ ตามแต่ทำนบของความหมองเศร้าที่ถาโถมเข้ามาในแต่ละขณะ น้ำตารินไหลแข่งกับสายน้ำจากก็อกที่ใช้ชะล้างหลังจากการขัดถู เมื่อห้องน้ำ สะอาดเอี่ยม นัยน์ตาฉันก็กระจ่างใส พอๆ กับที่หัวใจผ่องแผ้วพร้อมจะออกไปสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง
ห้องน้ำ จึงเป็นสถานที่ที่ฉันหลงรักปักใจในทุกโมงยามของชีวิต ไม่ว่าสุขหรือเศร้าจะเข้ามาเยือน เช่นเดียวกับ มิคาเกะ สาวน้อยที่มี ห้องครัว เป็นแหล่งที่พักพิงใจ ในยามที่ผู้คนอันเป็นที่รักค่อยๆ จากเธอไปทีละคน ทีละคน
มิคาเกะ กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก เธออยู่ในอุปการะของตากับยายที่เห็นเธอเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ แม้ตาจะจากไปก่อนเมื่อครั้งเธอยังเป็นเด็กมัธยม หากผู้เป็นยายก็ฟูมฟักเธอด้วยความรักที่มากล้นเกินพรรณนามาเสมอ
ในวันที่ยายจากเธอไปอย่างกะทันหัน กะทันหันเสียจนมิคาเกะไม่รู้ว่าจะวางตัวเองไว้ในมุมไหนของบ้านเพื่อให้ความทุกข์นั้นมันเลิกกัดกร่อนหัวใจลงไปสักที เธอไม่ร้องให้เพราะไม่แน่ใจว่าวิธีนี้จะช่วยให้ความทุกข์จากการสูญเสียคลายไปได้จริงหรือ อย่างเดียวที่เธอทำได้คือขดตัวอยู่นิ่งๆ ใต้ผ้าห่มอุ่น ที่เดียวที่เธอสามารถหลับลงได้สนิทภายใต้นิทราของห้วงเวลาแห่งความอาดูรนั้นก็คือ ข้างตู้เย็นใบใหญ่ใน ห้องครัวนั่นเอง
ครอบครัวทานาเบ้ อันประกอบด้วย ยูอิจิ ลูกชาย และเอริโกะผู้เป็นแม่ ซึ่งเคยเป็นพ่อมาก่อน เสนอตัวขอเป็นครอบครัวใหม่ของมิคาเกะ ทั้งที่เธอและพวกเขาต่างก็ไม่คุ้นเคยกันมาก่อน แต่ด้วยเหตุและผลของคุณความดีของยายที่ตกผลึกค้างอยู่ในหัวใจของยูอิจิ จนอยากจะ "ช่วยอะไรบ้าง" กับเธอผู้เป็นหลาน
แม้มิคาเกะจะไม่แน่ใจว่าสามารถไว้ใจพวกเขาได้หรือไม่ เพราะยิ่งคุ้นเคยกับสองแม่ลูกนี้มากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งไม่สามารคาดเดาอะไรได้มากเท่านั้น แต่เพียงวันแรกที่เหยียบย่างเข้าไปในห้องครัวของพวกเขา มิคาเกะก็ตอบรับเข้าไปเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวทานาเบ้ ด้วยเหตุผลเดียวคือ เธอไว้ใจครัวของพวกเขา
มิคาเกะ รู้ดีว่า แม้จะอยู่ท่ามกลางความรักที่เปรียบประดุจความฝันเพียงใด แต่ท่ามกลางจำนวนสมาชิกของบ้านที่เหลืออยู่เพียงสองคนนั้น ความเงียบงันอันน่าสะพรึงนั้นซุกตัวอยู่ที่มุมห้องอย่างสงบนิ่ง และรอคอยอยู่เสมอ ไม่ว่าเด็กคนหนึ่งกับคนแก่อีกคนจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขปานใดก็ตาม และเธอก็เชื่อว่า ครอบครัวทานาเบ้เองก็รู้สึกเช่นนั้น เมื่อเธอวางตัวเองลงเป็นส่วนเล็ก ๆ บนโซฟาในห้องนั่งเล่นของบ้านทานาเบ้ เธอจึงรู้สึกได้ถึงแสงสว่างกับอากาศที่ค่อยๆ ล่วงล้ำเข้าสู่หัวใจของเธอ
แม้จะต้องเผชิญความทุกข์ระทมอย่างสุดแสนครั้งแล้วครั้งเล่า ได้ลิ้มรสความปวดร้าวซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ มิคาเกะ กลับลุกขึ้นหยัดยืนได้ใหม่ในทุกคราว เพราะเธอไม่เคยยอมแพ้ ไม่ปล่อยให้จิตวิญญาณถูกทำลายลงไป ที่สำคัญ เธอมีครอบครัวที่เหนี่ยวรั้งหัวใจเธอให้หยัดยืนขึ้นได้ทุกครั้ง แม้ครอบครัวในความหมายของเธอจะไม่ใช่พ่อแม่ลูก หรือคนที่ผูกพันกันโดยสายเลือดก็ตาม
ครอบครัวแสนสุขนั้นมีที่มาที่ไปไม่ต่างกันนัก ผลผลิตจากครอบครัวในแบบที่ต่างกันก็มักสร้างครอบครัวใหม่ในแบบที่ตนเคยคุ้น
อาจเพราะชีวิตมันคล้ายเป็นภาษาที่เราอ่านไม่ออก และไม่อาจจะเข้าใจได้กระมัง แม้จะพยายามเรียนรู้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะประสบผลสำเร็จของการเรียนรู้นั้น
แม้ฉันจะมีห้องน้ำให้เปลื้องทุกข์ยามเศร้าหมอง
แม้มิคาเกะ มีห้องครัวให้หลับใหลในยามอ้างว้าง
และไม่ว่าจะเปลี่ยวเหงาสักเท่าไหร่ เราต่างก็เป็นคนประเภทที่พยายามหยัดยืนอยู่บนสองขาของตนเองให้ได้
แต่เราทั้งคู่รู้แน่แก่ใจว่า มันดีกว่ามากหากจะมีใครหยัดยืนเคียงข้าง ไม่ใช่ในความหมายของการแนบชิดอยู่เสมอ ไม่ใช่ในความหมายของการยื่นมือมาแก้ปัญหาชีวิตให้ ไม่ใช่ในความหมายของการยอมตายเพื่อกันและกันได้ หากมีความหมายแค่เพียง การสัมผัสได้ด้วยหัวใจว่ามีใครคนนั้นอยู่ในทุกโมงยามที่เราต้องการ เท่านั้นก็พอแล้ว