Skip to main content

นอกจากเสื้อเหลืองที่ใส่ไว้ " เราทำอะไรให้พ่อ"

คอลัมน์/ชุมชน

"ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม" ผู้เขียนไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าจะมีใครในโลกนี้ ที่จะมีคนรักได้มากมายขนาดนี้  ยืนยันได้จากภาพทุ่งมนุษย์ที่พร้อมเพรียงใจกันใส่เสื้อเหลืองไปแสดงจงรักภักดีแด่ในหลวง ณ ถนนราชดำเนิน และลานพระบรมรูปทรงม้า และยังมีตามต่างจังหวัดอีกมากมายเกินที่จะบรรยาย


 


ทั้งนี้ การแสดงความจงรักภักดี ไม่ได้หมายถึงการแสดงพลังเหลืองวันนี้หรือเดือนนี้เท่านั้น  แต่การกระทำต่างหากที่บ่งบอกถึงความจงรักภักดี  ไม่ใช่วันนี้ใส่เสื้อเหลืองแต่วันอื่นๆ กลับไปทำเรื่องที่ทำให้ท่านระคายเคืองเบื้องยุคลบาตร ดังนั้น การดูแลตนเองและครอบครัวให้อยู่ในทิศทางที่ถูกที่ควรต่างหากที่เป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน 


 


จริงๆ ผู้เขียนไม่ชำนาญเรื่องคำราชาศัพท์เลยสักนิด แต่ด้วยใจที่จงรักภักดีที่มีต่อในหลวงทำให้ผู้เขียนอยากเล่าเรื่องที่ได้ปฏิบัติสนองคุณแด่พระองค์ท่าน ที่มากกว่าการใส่เสื้อเหลือง เพราะนอกจากแสดงความรักที่มีมากล้นต่อพระองค์ท่านแล้ว   วันนี้ผู้เขียนรู้สึกเป็นบุญเหลือเกิน ที่ได้เกิดมาเป็นข้าของแผ่นดินในรัชสมัยของในหลวงท่าน กับความภาคภูมิใจที่เคยมีโอกาสได้เข้าเฝ้าในหลวง และท่านเคยมารับสั่งถามอย่างใกล้ชิด ซึ่งผู้เขียนยิ่งรู้สึกว่าช่างเป็นบุญของเราเหลือเกิน


 


ด้วยผู้เขียนเกิดวันที่ ๕ ธันวาคม ซึ่งตรงกับวันเฉลิมพระชนพรรษา และด้วยการที่เกิดวันนี้จึงเป็นแรงผลักดันให้ผู้เขียนมุ่งมั่นที่จะทำความดีถวายท่านมาตลอดทั้งชีวิต ไม่ใช่บางวันบางฤดูกาลเท่านั้น 


 


เริ่มตั้งแต่การปฏิบัติตน (ก่อนจะชวนใครมาทำดีเราต้องทำให้เขาดูก่อน)  ผู้เขียนไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และยาเสพติดใดๆ ไม่เล่นการพนัน ไม่ซื้อลอตเตอรี่ทั้งใต้ดิน-บนดิน ไม่ดื่มเครื่องดื่มชูกำลังทั้งหลาย  ไม่กินกาแฟ  เพราะมีความรู้สึกว่า ข้าวก็กินแล้ว ขนมก็กินแล้ว ผลไม้ก็ได้กิน ทำไมเราต้องไปกิน ไปติดกับสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตด้วยเล่า คิดได้อย่างนี้ก็เลยไม่ติดไม่กินของที่กล่าวมา  เสื้อผ้าเราก็ใส่เพียงป้องกันไม่ให้โป๊ ไม่จำเป็นต้องเป็นยี่ห้อไหนๆ ขอเพียงปิดบังของสงวนได้ก็ใส่ได้ทั้งนั้น ชีวิตมันก็อยู่ของมันได้ ไม่เห็นเดือดร้อนอะไรเลย ทำอย่างนี้ตลอดมาตั้งแต่จำความได้ ชีวิตก็อยู่ดีมีสุข ไม่เดือดเนื้อร้อนใจเหมือนที่ผู้คนรอบข้างเขาเป็นกัน 


 


อยากทำอะไรเมื่อคิดว่า ทำดี ทำถูก ทำได้ ก็จะทำทันทีไม่สนใจใครทั้งนั้น  หลายเรื่องที่ทำ และหลายครั้งที่ถูกหาว่าบ้า แต่ถ้าเราทำด้วยความตั้งใจและมุ่งมั่น ก็ทำไปเลยไม่ต้องไปสะดุดการทำดีกับคำพูดของคนรอบข้าง  


 


ตัวผู้เขียนมีข้อจำกัดเรื่องสุขภาพค่อนข้างมาก (เพราะร่างกายผ่านงานหนักมาเกินที่สรีระจะรับไหว) เป็นทั้งข้อเชื่อมกระดูกสันหลังกร่อน ทั้งมดลูกเป็นพังผืด และภูมิแพ้ทางเดินหายใจ  สามโรคนี้ใครไม่เคยเป็นก็คงไม่เข้าถึงความทรมาน โรคข้อกระดูกเป็นแล้วไม่สามารถยกของหนักได้แม้น้ำสักกระป๋องก็ยกไม่ได้ เพราะหากฝืนยก ผลที่ได้รับคือความเจ็บแทบจะลุกยืนขึ้นไม่ได้  พังผืดในมดลูกก็สร้างความทรมานทุกครั้งที่ใกล้จะมีรอบเดือน เจ็บปวดขนาดต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น หลังๆ ต้องนอนโรงพยาบาลทุกเดือน   ภูมิแพ้คือความทรมานที่เราต้องเผชิญกับมันทุกวัน


 


ด้วยปัญหาเรื่องสุขภาพที่หลายคนมองเราว่าขี้โรค แล้วยังรั้นทำเรื่องที่ไม่ควรทำนั่นคือ ริจะปลูกต้นไม้ถวายในหลวง ด้วยการนำต้นจามจุรีและอื่นๆ มาปลูกในพื้นที่ๆ น้ำเค็มท่วมถึง ซึ่งทางรอดเป็นไปได้ยากยิ่ง  แต่ด้วยใจที่มุ่งมั่นจะปลูกต้นไม้ให้พ่อ (เมื่อครั้งทรงครองราชย์ครบ ๕๐ ปี) ตอนปลูกน่ะไม่เป็นไรเพราะชักชวนคนมาช่วยปลูกได้  แต่ตอนดูแลเพื่อให้ต้นไม้อยู่รอดนั่นสิ  เป็นเรื่องที่สาหัสที่สุด หน้าฝนก็ไม่ค่อยเท่าไร แต่ตอนเข้าหน้าแล้ง น้ำคือความจำเป็นที่จะทำให้ต้นไม้อยู่รอด จะเดินสายยางก็ไม่ได้เพราะเดี๋ยวหาย (ปลูกริมถนนสาธารณะ) มีทางเดียวคือต้องหิ้วน้ำไปรดทีละต้น


 


เอาละสิ คนที่ยกของหนักไม่ได้แต่ต้องรับภาระหิ้วน้ำไปรดต้นไม้วันละเป็น ๑๐๐ ต้น นึกภาพไม่ออกละสิว่า ผู้เขียนจะทำอย่างไร บอกให้ก็ได้ว่าใช้ขันน้ำตักที่ละขันเดินไปรดที่ละต้นเดินไปเดินกลับวันละเป็นร้อยเที่ยว ทำอย่างนั้นทุกวัน ใครผ่านไปผ่านมาก็ว่าทุกวันว่า สงสัยมันจะบ้าเดินตักน้ำรดต้นไม้ทีขัน แต่ผู้เขียนไม่สนใจตั้งหน้าตั้งตาทำมาเรื่อยๆ เหนื่อยก็หยุด จนต้นไม้โตขึ้นเรื่อยๆ กับความสุขใจของเรา 


 


ทำอย่างนั้นประมาณ ๗ เดือน ปัญหาก็เริ่มเกิดขึ้น เมื่ออาการปวดท้องกำเริบหนักจนหมอต้องส่งเข้าห้องผ่าตัด  เพื่อตัดมดลูกทิ้ง  ไอ้เจ็บน่ะไม่กลัว แต่กลัวต้นไม้ที่ปลูกไว้จะไม่รอด  เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่แล้งมาก แต่ทำไงได้เมื่อหมอบอกว่าจำเป็นต้องผ่าก็ต้องผ่า ปฏิเสธไม่ได้  ผู้เขียนใช้เวลาอยู่โรงพยาบาล ๓ วัน และต้องออกมาพักฟื้นที่บ้านอีก ๑ เดือน พี่สาวถึงได้ยอมให้ออกไปทำงาน (ตอนนั้นเป็นผู้จัดการสหกรณ์ประมงบางจะเกร็ง-บางแก้ว จำกัด) ออกไปเห็นต้นไม้แล้วอยากร้องไห้ เพราะต้นไม้ของพ่อตายเกือบหมด  ที่เหลืออยู่ไม่ถึง ๑๐ ต้น ก็ร่อแร่เต็มที น้ำก็หิ้วไม่ไหว เดินมากก็ไม่ได้เพราะแผลยังไม่หายดี  ไม่รดน้ำ ต้นไม้ก็จะตายหมด  มีวิธีเดียวคือต้องตักน้ำแล้วนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์ ไปรดต้นไม้  หลายคนเห็นต่างหาว่า ผู้เขียนเป็นคนบ้ายอมเสียค่ามอเตอร์ไซด์ทุกวันเพื่อต้นไม้ต้นเล็กๆ เพียงไม่กี่ต้น


 


จากความพยายามตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ ทำให้ต้นไม้ของพ่อโตใหญ่เป็นร่มเงาให้ผู้แวะเข้าพัก แม้จะเหลือเพียงต้นเดียว  แต่ก็เป็นต้นที่เราภาคภูมิใจ และยิ่งวันนี้เรายิ่งมีความสุขที่สุดที่ได้ทำไปวันนั้น แม้ผู้เขียนจะไม่มีโอกาสได้เข้าไปที่ถนนราชดำเนิน แต่ความรู้สึกดีๆ ก็ยังมีเปี่ยมล้นในหัวใจเสมอทุกครั้งที่เห็นต้นไม้ของพ่อ มันก็ตอบเราได้ทุกครั้งว่า เราได้ทำในสิ่งที่ควรทำ มีความภาคภูมิใจไม่น้อยกว่าการได้ใส่เสื้อเหลือง