พอลล่า กันน์ อัลเลน : เฟมินิสต์ เลสเบี้ยน และอินเดียนแดง
คอลัมน์/ชุมชน
ในวันที่อิสราเอลเปิดฉากสงครามครั้งใหม่กับเลบานอน ฉันคิดอยากจะเขียนถึง พอลล่า กันน์ อัลเลน เพราะ นอกจากเธอจะเป็นนักเขียน นักวิชาการ เฟมินิสต์ เลสเบี้ยน และชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกัน (อินเดียนแดง) แล้ว เธอยังเป็นนักกิจกรรมต่อต้านสงครามและอาวุธนิวเคลียร์ ที่วิพากษ์วิจารณ์ความรุนแรงในสังคมชายเป็นใหญ่ พร้อม ๆ กับนำเสนอวิถีแห่งสันติที่มีพื้นฐานจากสังคมชนเผ่า
อีกสิ่งสำคัญที่ทำให้ฉันคิดถึงเธอก็คือ เชื้อสายฝั่งพ่อของเธอ มาจากเลบานอน
ฉันยังนึกถึงเพื่อนนักเรียนอีกคนในซานฟรานซิสโก เธอชื่อ เมย์ อัลเลวาร์ เมย์มาจากเลบานอน แต่งงานกับคนอเมริกัน มีลูกชายวัยกำลังซนสองคน เธอเป็นเฟมินิสต์จากโลกอาหรับ ที่ย้ำกับเพื่อน ๆ เสมอว่า เราไม่สามารถทำเพียงแค่วิจารณ์สังคมชายเป็นใหญ่ว่าคับแคบสำหรับผู้หญิงเพียงไร แต่เราต้องชี้ให้ผู้คนเห็นด้วยว่า "ทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่นั้นเป็นอย่างไร"
ฉันคิดว่า พอลลา กันน์ อัลเลน ทำทั้งสองด้านนี้ได้อย่างดีเยี่ยม
พอลลา กันน์ อัลเลน เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1939 ในเมืองเล็ก ๆ ในรัฐนิวเม็กซิโก เธอเติบโตขึ้นมาท่ามกลางคนหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งเม็กซิกัน อินเดียนแดง และคนขาว ตัวอัลเลนเองมีเชื้อสายเลบานอนมาทางฝ่ายพ่อ ฝ่ายแม่เป็นลูกผสมอินเดียนแดงเผ่าลากูนา เผ่าซู และสก็อต เอเลนอธิบายถึงแผ่นดินเกิดที่หล่อหลอมความเป็นเฟมินิสต์ของเธอว่า
"ถ้าใครสักคนคิดว่าผืนแผ่นดินเป็นผู้หญิงแล้ว ภาพของผู้หญิงที่เป็นถิ่นกำเนิดของฉันคือ ผู้หญิงร่างใหญ่ แข็งแกร่งดุจหินผา มหัศจรรย์ ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า ท้าทาย งดงาม และลึกซึ้ง ในขณะเดียวกัน มีบางช่วง บางเวลาเปลี่ยนผ่านเพียงสั้น ๆ เท่านั้น ที่เธอบอบบาง อ่อนโยน และอ่อนไหว"
แม้อัลเลนจะเป็นลูกผสม แต่เธอเติบโตและได้รับการเลี้ยงดูตามวิถีของอินเดียนแดงลากูน่า ซึ่งเป็นหนึ่งในเผ่าเคเรส พูเอโบล่ แม่ของเธอสอนเธอเสมอ ๆ ว่า อย่าลืมว่าเธอคืออินเดียน แม่ไม่เคยให้อัลเลนคิดว่าตัวเองเป็นลูกผสม ความเป็นอินเดียนของเธอจึงเข้มข้นทั้งในสายเลือดและในวัฒนธรรม
อัลเลนเรียกระบบวัฒนธรรม ที่เธอเติบโตขึ้นมานี้ว่า Gynocracy (gyno แปลว่า ผู้หญิง) ระบบนี้มีลักษณะของความเป็น "สังคมเผ่าที่ผู้หญิงเป็นศูนย์กลาง มีการสืบสายสกุลทางผู้หญิง ตั้งถิ่นฐานโดยยึดทางฝ่ายหญิงเป็นหลัก ผู้หญิงเป็นหลักในการดำเนินชีวิต แม่เป็นผู้ควบคุมผลผลิตและทรัพยากรของครอบครัว มีเทพผู้หญิงที่เทียบระดับความสำคัญได้กับพระเจ้าในศาสนาคริสต์ เทพเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในวิถีของเผ่าทั้งในอดีตและปัจจุบัน" ระบบเช่นนี้เองที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่องานเขียนของเธอ
อัลเลนจบปริญญาตรีด้านภาษาอังกฤษ ปริญญาโทด้านการเขียน ในเวลานั้นเธอยังไม่ได้สนใจการเป็นนักวิชาการด้านอินเดียนแดง จนเมื่อปลายทศวรรษที่ 70 เธอได้รับเชิญให้ไปสอนในโครงการอเมริกันอินเดียนศึกษาที่มหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโก นี่เป็นการหวนกลับสู่รากเหง้า ที่เธอบอกว่าเป็นการนำเธอ "กลับมาสู่แม่ มาสู่ข่ายใยศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นหนทางของยาย"
ปี 1976 เธอจบปริญญาเอกด้านชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกัน หลังจากนั้นอัลเลนสอนตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมทั้งศึกษาต่อในระดับหลังปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่เบิร์กลีย์ ในด้านวรรณกรรมชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกัน เธอเกษียณอายุจากตำแหน่งอาจารย์ด้านภาษาอังกฤษ การเขียน และอเมริกันอินเดียนศึกษา จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่ลอสแองเจลิส เมื่อปี 1999
อัลเลนเป็นหนึ่งในเฟมินิสต์รุ่นแรก ๆ ที่นำเสนองานผ่านมุมมองของชนเผ่า หนังสือของเธอเรื่อง The Sacred Hoop: Rediscovering the Feminine in American Indian Traditions. อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับเฟมินิสต์ชนเผ่าเล่มแรก ที่เขียนโดยตัวชนเผ่าเอง เธอให้แง่คิดหลายมุมไว้ในหนังสือเล่มนี้ที่ต่างไปจากงานวิชาการกระแสหลัก เธอพูดไว้ชัดเจนว่ามุมมองของเธอไม่ใช่มุมมองของนักมานุษยวิทยาหรือมิชชันนารี และไม่ได้สะท้อนถึงการคิดแบบคนขาว
ตั้งแต่โคลัมบัสเป็นต้นมา ชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันต้องประสบกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การถูกจำกัดและเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เป็นเหมือนคนขาว มิชชันนารีชาวคริสต์พยายามเข้าไปเผยแพร่ศาสนาเพราะเห็นว่าศาสนาดั้งเดิมของชนเผ่านั้น ไม่ใช่ทางรอดที่แท้จริง พร้อม ๆ กันนั้นนักมานุษยวิทยาก็เดินทางเข้าไปศึกษาชีวิตชนเผ่า แต่ทั้งศาสนาและการศึกษาก็เต็มไปด้วยอคติของสังคมชายเป็นใหญ่ ศาสนาชายเป็นใหญ่ และความเชื่อที่ว่าสังคมคนขาวเป็นสังคมที่ "อารยะ" กว่าสังคมอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ภาพของชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันที่ปรากฎออกมาก็คือ คนป่า ไร้อารยธรรม ไร้ศาสนา ลึกลับ และน่าหวาดกลัว
แม้อัลเลนจะได้รับการศึกษาตามวิถีตะวันตก แต่เธอได้หลอมรวมวิธีการหาความรู้ตามแบบของตะวันตกเข้ากับความเป็นชนเผ่า ในหนังสือเล่มนี้ เธอใช้ "ตัวตนภายใน" ตรวจสอบงานเขียนเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันต่าง ๆ ว่าเป็นจริงหรือไม่ วิธีนี้อาจจะไม่ใช่วิธีวิชาการตามแบบฉบับตะวันตก แต่เธอบอกว่า ตัวตนภายในของเธอสามารถรับรู้ได้ว่าอะไรจริงไม่จริงสำหรับอินเดียน เพราะเธอเองก็เป็นอินเดียนคนหนึ่ง
เธอใช้ตัวตนภายในนี้เองวิพากษ์วิจารณ์สังคมอเมริกันที่เข้าใจชนเผ่าอย่างผิด ๆ มาตลอด เธอย้ำว่า สังคมชนเผ่าในอเมริกาไม่เคยเป็นสังคมชายเป็นใหญ่ แต่เป็น Gynocracy การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่คนขาวกระทำต่อชนเผ่ามาเป็นเวลา 500 กว่าปีนั้น ส่วนใหญ่แล้วมีเหตุผลมาจากความหวาดกลัวระบบ Gynocracy นี้เอง แม้ในปัจจุบันการศึกษาตามแบบฉบับตะวันตก ก็ยังไม่เข้าใจชนเผ่าดี เพราะยังมีอคติจากสังคมชายเป็นใหญ่อยู่มาก ทำให้เกิดการลดทอนคุณค่าความสำคัญของผู้หญิงในระบบชนเผ่าลง เพื่อให้ดูเหมือนว่าสังคมชนเผ่าก็เป็นสังคมชายเป็นใหญ่เช่นกัน
อัลเลนสะท้อนภาพให้เราเห็นว่า "ทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่" นั้นเป็นอย่างไร เธอเล่าว่า ที่ ๆ เธอเติบโตขึ้นมา ผู้หญิงไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเพศที่อ่อนแอ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือถูกกดขี่ แต่ผู้หญิงถูกมองว่าเป็นเพศที่เข้มแข็ง มีเหตุผล ฉลาดเฉลียว มีไหวพริบ มองโลกอย่างเป็นจริง และเปี่ยมไปด้วยความสามารถ
จิตวิญญาณนั้นเป็นส่วนสำคัญที่แยกออกจากอินเดียนแดงไม่ได้ และจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ ผู้สร้างโลก ผู้สอนมนุษย์ให้รู้จักการเกษตร ทำเครื่องปั้นดินเผา ทอผ้า สอนให้มีระบบสังคม ภาษา ศาสนาและพิธีกรรม บทเพลงและการเต้นรำต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นเพศหญิง เทพผู้หญิงนี้เป็นทั้งแม่และพ่อของผู้คนและทุกสรรพชีวิต นี่ไม่ใช่เฉพาะเผ่าของเธอเท่านั้น แต่ในเผ่าอื่น ๆ เทพผู้หญิงก็มีความสำคัญต่อวิถีของเผ่าเป็นอย่างยิ่ง
อัลเลนกล่าวว่า พลังของผู้หญิงนี้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล และเป็นทั้งหัวใจ (ครรภ์) และความคิด (ความสร้างสรรค์) ผู้หญิงทุกคนเกิดมากับพลังนี้ ในเผ่าของเธอ ครรภ์มารดา เลือดประจำเดือน และเลือดจากการคลอดบุตรถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะมันเต็มไปด้วยพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิต พลังแห่งการเสียสละ และพลังที่จะปลุกเร้าพลังต่าง ๆ นี่ไม่ใช่พลังแห่งการทำลายล้าง หากแต่เป็นพลังที่ก่อให้เกิดสันติและความสอดคล้องสมดุล
ในเรื่องเลสเบี้ยนนั้น อัลเลนกล่าวว่า สังคมชนเผ่านั้นผู้หญิงกับผู้ชายจะมีการทำงานและทำพิธีกรรมที่แบ่งแยกกันชัดเจน ผู้หญิงจะมีเวลาอยู่ด้วยกันมาก และแน่นอนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงสองคนจะสามารถเกิดขึ้นได้อย่างมาก แต่ความซับซ้อนมีมากกว่านั้น เพราะในขณะที่เธอมีความรักกับผู้หญิงอีกคน เธอก็อาจมีสามีและลูกไปด้วยในเวลาเดียวกัน อัลเลนอธิบายว่า การที่เราจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ เราต้องรู้ว่า ชีวิตอินเดียนนั้นขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณ บางทีจิตวิญญาณอาจต้องการให้ผู้หญิงมีลูกและเลี้ยงลูก เพราะการเป็นแม่นั้น คือการได้มาซึ่งพลังทางจิตวิญญาณและอำนาจในการแบ่งปันทรัพยากรต่าง ๆ
ขณะที่เลสเบี้ยนในสังคมอเมริกันมักจะรู้สึกแปลกแยกจากสังคม แต่ในสังคมชนเผ่าของอัลเลน ความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงจะมีความมั่นคงและปลอดภัยมากกว่า เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดและดูแลโดยบรรดาเทพทั้งหลาย ดังนั้น จึงเป็นความสัมพันธ์ที่ได้รับการยอมรับและเคารพในเผ่า
อัลเลนฝากเอาไว้ว่า ในยุคสังคมชายเป็นใหญ่นั้น พลังของเลสเบี้ยนกำลังถูกปิดทับด้วยความเงียบ ที่มีแต่จะกัดกร่อนทำลาย เราต้องไม่ปล่อยให้ความเงียบนี้เป็นอุปสรรคต่อการค้นพบตัวเองของเรา เราต้องไม่ลืมจุดกำเนิดและพลังอันแท้จริงของเรา
งานในยุคหลังของอัลเลนยังคงการวิพากษ์วิจารณ์สังคม พร้อม ๆ กับนำเสนอทางเลือกที่นำไปสู่พลังอันสันติ ใน Off the Reservation: Reflections on Boundary-Busting, Border-Crossing, Loose Canons. อัลเลนเสนอว่าความโดดเดี่ยวแปลกแยกในสังคมอเมริกันนั้น เกิดเพราะคนอเมริกันหลงลืม "แม่" อันหมายถึง อินเดียนแดง โลก และธรรมชาติ วัฒนธรรมอเมริกันทำลายทั้งสามสิ่งนี้และยกย่องความเปล่าเปลี่ยวให้อยู่เหนือ "แม่" อเมริกาควรกลับมาเรียนรู้จากอินเดียนแดง และสิ่งที่จะนำสังคมกลับสู่ความสมดุลได้ก็คือ ความเป็นชุมชน และพลังแห่งความเป็นหญิง
ในขณะที่เฟมินิสต์สายหลังสมัยใหม่บางกลุ่ม เสนอทางออกจากสังคมชายเป็นใหญ่ว่า เราไม่ควรยึดติดกับสารัตถะแห่งความเป็นหญิง เพราะมันเป็นเพียงสิ่งประกอบสร้างจากสังคม แต่อัลเลนกลับนำเสนอหนทางออกที่ต่างออกไป ในหนังสือเล่มนี้เธอบอกว่า "การสร้างพลังให้ผู้หญิงนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการพยายามเปลี่ยนแปลงสังคมชายเป็นใหญ่ หากแต่ขึ้นอยู่กับการตระหนักว่ามันเป็นส่วนเกินของชีวิตเรา"
และ "สังคมชายเป็นใหญ่นั้น จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญคือ พันธะสัญญาและการอุทิศตัวให้กับความเป็นผู้หญิงของเรา พร้อม ๆ กับเห็นว่า ความเป็นผู้หญิงนั้นเป็นทั้งสิ่งที่เรามีร่วมกันและหลากหลายไปตามชนชั้น วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และการเมือง"
อัลเลนยังคงวิพากษ์อคติและความรุนแรงที่มีต่อชนเผ่าในหนังสือเล่มนี้ รวมทั้งแตะประเด็นเลสเบี้ยน, ความรุนแรงต่อโลกและผู้หญิง เธอยังได้กลับไปหารากเหง้าฝ่ายพ่อ และค้นคว้าเรื่องพลังของผู้หญิงในเลบานอน
งานอื่น ๆ ของเธอก็เช่น Grandmothers of the Light: A Medicine Womans Sourcebook ซึ่งเป็นการรวบรวมตำนานของเทพผู้หญิงจากหลากหลายเผ่า เป็นการเน้นย้ำของอัลเลนอีกครั้งว่า ผู้หญิงทุกคนมีพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้
Spider Womans Granddaughters: Traditional Tales and Contemporary Writing by Native American Women เป็นหนังสือที่ได้รับรางวัล Native Prize for Literature เรื่องนี้อัลเลนแสดงให้เห็นว่า ตลอดระยะเวลา 500 ปีของสงครามที่คนขาวกระทำต่ออินเดียนแดงนั้น ผู้หญิงได้รับผลกระทบและความสูญเสียอย่างไร ขณะเดียวกันเธอก็ทำให้เราได้เห็นภาพอีกด้านว่า ในภาวะเช่นนั้น ผู้หญิงยังคงศักดิ์ศรีและความกล้าหาญได้อย่างไรบ้าง
สังคมชายเป็นใหญ่นั้นเป็นสังคมที่ขาดความสมดุล ตามแนวคิดของอินเดียนแดงนั้น เมื่อใดที่สังคมเสียสมดุล ความหายนะและการทำลายล้างก็จะตามมา เสียงของอัลเลนเป็นดั่งเข็มทิศชี้ทางให้โลกอันรุนแรงของเรา หันกลับมาหาทางออกสู่ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ ในทุ่งหญ้านี้ เธอบอกว่ามีแหล่งพลังสำคัญรอเราอยู่ นั่นคือพลังแห่งเพศหญิงที่เหือดหายไปจากโลกมานาน และนี่เองเป็นพลังอันสามารถนำให้โลกกลับสู่ความสันติและสมดุล
แล้วก็ทำให้ฉันคิดถึงเมย์อีกครั้ง
ช่วงที่ผ่านมา เมย์พาลูกชายทั้งสองไปเยี่ยมบ้านที่เลบานอน ทั้งสามคนติดอยู่ที่นั่นในช่วงแรกของการโจมตีทางอากาศ เมย์ส่งข่าวถึงเพื่อน ๆ ผ่านทางสามีที่อยู่ในซานฟรานซิสโกว่า หลายวันแล้วที่เธอและลูกต้องหลบอยู่แต่ในบ้าน เพราะมีการโจมตีอย่างหนักในเขตที่เธออยู่ เมย์พยายามหาทุกวิถีทางที่จะพาลูกออกจากเลบานอน เธอคิดว่าจะขับรถพาลูกหนีออกทางชายแดนซีเรีย แต่ทางรัฐบาลเตือนว่า การเดินทางทางถนนนั้นยิ่งอันตราย พวกเราใจคอไม่ดีอยู่หลายวัน จนวันนี้เองที่สามีของเมย์ส่งข่าวมาว่า เมย์และลูกได้ลงเรือหนีออกมาที่ไซปรัสแล้ว
ฉันจินตนาการภาพของเมย์ ที่กอดลูกชายทั้งสองยามมีเสียงระเบิดลงใกล้ ๆ ตัว นึกถึงภาพเมย์เวลาพยายามหาทางออกทุกวิถีทางให้ลูกปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการขับรถเสี่ยงระเบิดไปที่ชายแดนก็ตาม ฉันเห็นภาพของเธอยังคงกอดลูกทั้งสองอยู่ไม่ห่างตัวเวลาขึ้นเรือหนีไปไซปรัส
ฉันนึกแล้วก็เข้าใจได้ว่า พลังแห่งความเป็นผู้หญิง ที่พอลล่า กันน์ อัลเลนพูดถึงนั้นคืออะไร
ฉันไม่รู้ว่าเมื่อใดสงครามจะหยุด ไม่รู้ว่าทั้งเมย์และลูกชายทั้งสองคนจะต้องใช้เวลาเยียวยาอีกเพียงใด จึงจะหายหวาดกลัว ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ผู้มีอำนาจ ผู้ที่ถืออาวุธ จะเรียนรู้เสียทีว่า พลังที่โลกต้องการนั้น ไม่ใช่พลังแห่งการทำลายล้าง แต่เป็นพลังแห่งความสันติและความสอดคล้องสมดุล
หนังสือประกอบการเขียน
Allen, Paula Gunn. Grandmothers of the Light: A Medicine Womans Sourcebook.
---. Off the Reservation: Reflections on Boundary-Busting, Border-Crossing, Loose Canons.
---. The Sacred Hoop: Recovering the Feminine in American Indian Traditions.
---. Spider Womans Granddaughters: Traditional Tales and Contemporary Writing by Native American Women.