10 คำถาม เรื่อง " แผนไฟฟ้า 4 แสนล้านบาท " ( แผนพีดีพี 2004)
คอลัมน์/ชุมชน
คำนำ |
บทความนี้ได้เขียนขึ้นโดยเน้นเฉพาะประเด็นสำคัญ แต่พยายามให้ท่านที่เพิ่งสนใจเรื่องนี้สามารถทำความเข้าใจได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โดยแบ่งเป็น 2 หัวข้อต่อไปนี้ |
1 . คนไทยใช้พลังงานและไฟฟ้าปีละเท่าใด |
ในปี 2545 คนไทยทั้งประเทศใช้พลังงานขั้นสุดท้ายคิดเป็นเงินถึง 7.77 แสนล้านบาท คิดเป็น 14.31% ของรายได้ประชาชาติ ( จีดีพีเท่ากับ 5.43 ล้านล้านบาท ) ซึ่งหมายความว่าโดยเฉลี่ยแล้วรายได้ทุก ๆ 100 บาทของแต่ละคนถูกใช้ไปกับพลังงานถึง 14.31 บาท |
ในจำนวนรายจ่ายด้านพลังงานทั้งหมดนี้ 56% เป็นค่าน้ำมัน และ 32% เป็นค่าไฟฟ้าซึ่งคิดเป็นราคาปีละ 2.45 แสนล้านบาท โดยเฉลี่ยเกือบ 3,900 บาทต่อคน |
ด้วยขนาดของรายจ่ายที่สูงขนาดถึงนี้ การกำหนดนโยบายด้านพลังงานตลอดจนการจัดทำแผนไฟฟ้าจึงมีผลกระทบที่สูงมากต่อคนไทยทุกคน |
ในปี 2545 ท่านนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ได้ยอมรับต่อสาธารณชนว่า ในช่วงที่ผ่านมา ( ซึ่งหมายถึงรัฐบาลก่อน ) ได้มีการคำนวณที่ผิดพลาด ส่งผลให้มีการสร้างโรงไฟฟ้าที่มากเกินความจำเป็นคิดเป็นมูลค่าถึง 4 แสนล้านบาท ส่งผลให้คนไทยต้องรับภาระค่าไฟฟ้าที่แพงกว่าที่ควรจะเป็น |
คำถามที่ 1 ในการจัดทำแผนปัจจุบันนี้ หรือที่เรียกว่า " แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ . PDP 2004 ( พ . ศ .2547-2558)" รัฐบาลนี้ได้ปรับปรุงกระบวนการจัดทำแผนอย่างไรหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ " ความผิดพลาด " ต้องเกิดซ้ำขึ้นมาอีกเหมือนกับรัฐบาลที่ผ่าน ๆ มา และการยอมรับว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นนั้นเป็นการยอมรับอย่างจริงใจหรือเพราะว่าเหตุผลทางการเมือง |
2 . ขั้นตอนและหลักการจัดทำแผนฯ และปัญหาที่สงสัย |
จากการศึกษาในแผนพีดีพี 2004 ดังกล่าว พบว่าขั้นตอนและหลักการในการจัดทำแผนชุดนี้ยังคงเหมือนกับในอดีตที่ผ่าน ๆ มา แม้ว่าเราจะมีรัฐธรรมนูญใหม่ฉบับ 2540 ที่มีเจตนารมณ์ที่สำคัญ 2 ประการคือ เน้น (1) การมีส่วนร่วมของประชาชน และ (2) มีกระบวนการตรวจสอบ |
ขั้นตอนดังกล่าวมีอยู่ 5 ขั้นตอน คือ |
ขั้นแรก คณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า เพื่อที่จะบอกว่าในปีใดความต้องการไฟฟ้าจะเป็นเท่าใด |
ขั้นที่สอง ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ( กฟผ .) จัดทำแผนว่าจะสร้างโรงไฟฟ้าที่ใด จำนวนเท่าใด ด้วยเชื้อเพลิงชนิดใด เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าขั้นต้อนนี้ต้องผ่านคณะกรรมการ กฟผ . |
ขั้นที่สาม ผ่านกระทรวงพลังงานเพื่อพิจารณา จากนั้น ขั้นที่สี่ เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ( กพช .) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน สุดท้าย ขั้นที่ห้า ก็เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา |
คำถามที่ 2 แผนนี้ใช้งบประมาณการก่อสร้างสูงถึง 4 แสนล้านบาท แต่ทำไมไม่มีการตรวจสอบจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา สถาบันวิชาการ หรือองค์กรผู้บริโภค สื่อมวลชนรวมทั้งสาธารณะอื่น ๆ เลย นี่เป็นการจงใจที่จะหลีกเลี่ยงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญของรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ |
หลักการ |
แผนนี้มีหลักการ 4 ข้อ แต่หลักการที่สำคัญ คือ การใช้ค่าพยากรณ์ของคณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า ซึ่งพยากรณ์บนกรณีที่การเติบโตทางเศรษฐกิจปานกลาง คือ จีดีพีเฉลี่ย 6.5% ต่อปี และนำนโยบายลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุด (peak cut) ประมาณ 500 เมกะวัตต์มาใช้ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นไป |
จากหลักการดังกล่าว ทำให้ได้ว่า |
2.1 เมื่อปี 2546 ความต้องการไฟฟ้าสูงสุด เท่ากับ 18,121 เมกะวัตต์ ถูกคาดหมายว่าเพิ่มขึ้นเป็น 40,978 เมกะวัตต์ในปี 2558 หรือเพิ่มขึ้น 126% ในเวลา 12 ปี |
คำถามที่ 3 มีการพยากรณ์ของประเทศใดบ้างในโลกนี้ที่เพิ่มขึ้นสูงมากเท่ากับของกรณีประเทศไทย แม้องค์กรของรัฐบาลอเมริกันเองที่ได้ศึกษาประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ในช่วงปี พ . ศ . 2544 ถึง 2568 พบว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจะมีอัตราการเพิ่มเฉลี่ยเพียงปีละ 3.7% เท่านั้น หรือเพิ่มขึ้น 137% ในเวลา 24 ปี ( ข้อมูลจาก http://www.eia.doe.go) ในขณะที่ประเทศจีน ( ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนบอกว่ากำลังจะเกิดฟองสบู่ ) มีการเติบโตทางความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเพียง 4.3% ต่อปีเท่านั้น ( ซึ่งสูงที่สุดในโลกแล้ว ) |
แต่ทำไมกรณีของประเทศไทย จึงได้แตกต่างจากของชาวโลกเขามากมายถึงเพียงนี้ ประเทศไทยมีอะไรวิเศษกว่าประเทศอื่นมากมายถึงขนาดนี้ |
ถ้าจำแนกตามประเภทของผู้ใช้ไฟฟ้า พบว่าในปี 2546 ประเภทบ้านอยู่อาศัยใช้ไฟฟ้าเพียง 22% ของไฟฟ้าทั้งหมด ในขณะที่ผู้ใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่เป็นภาคอุตสาหกรรม 48% และภาคธุรกิจ 15% |
นอกจากนี้ข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ บอกว่า คนไทยประมาณร้อยละ 98 มีไฟฟ้าใช้แล้วหรือเกือบจะอิ่มตัวแล้ว ดังนั้นถ้าความต้องการพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 128% ในเวลา 12 ปีจริงแล้ว เกือบทั้งหมดต้องมาเพิ่มที่ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจ |
คำถามที่ 4 ถ้าภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจเพิ่มขนาดนี้จริงแล้ว ต้องถามต่ออีกว่า แล้วจะเอาน้ำจืดที่ไหนมาทำอุตสาหกรรม จะกำจัดของเสียและมลพิษทางอากาศกันอย่างไร น้ำเสียเหล่านี้จะไปทำลายแหล่งเพาะฟักพันธุ์สัตว์น้ำ นอกจากนี้จะเอาแรงงานฝีมือมาจากไหนในเมื่อนักเรียนส่วนใหญ่ของไทยไม่สนใจศึกษาสายอาชีวะ ฯลฯ หรือจะใช้แรงงานต่างด้าวตามที่โฆษณากัน |
คำถามที่ 5 คำถามนี้เป็นเชิงทฤษฎีเล็กน้อย โดยปกติคนต้องอาศัยที่ดิน อากาศ แหล่งน้ำ แหล่งอาหารเป็นปัจจัยทางธรรมชาติในการดำรงชีวิต ถามว่าความสามารถของธรรมชาติ (carrying capacity) เหล่านี้จะไม่ถึงจุดอิ่มตัวบ้างเลยหรือ |
หลักการในการทำแผนไฟฟ้า คณะผู้จัดทำได้ยึดเอาแต่การเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นเรื่องของรายได้เป็นหลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่มนุษย์ยังต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีซึ่งย่อมหมายถึงคุณภาพอากาศ น้ำ แหล่งอาหารด้วย |
คำถามที่ 6 เนื่องจากกระทรวงพลังงานมีนโยบายว่า จะทำให้การใช้พลังงานของประเทศมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ |
ในขณะนี้โดยเฉลี่ย ถ้าคนทั้งโลกต้องการมีรายได้เพิ่มขึ้นสัก 10% เขาจะต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นประมาณ 9 % แต่คนไทยต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นประมาณ 14% นั่นคือหมายความว่าต้นทุนด้านพลังงานของไทยเราสูงกว่าของต่างประเทศ |
ข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพบว่าในปี 2542 ประเทศไทยบริโภคผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมมากเป็นอันดับที่ 20 ของโลก แต่มีรายได้ประชาชาติอยู่ในอันดับที่ 29 ของโลก* เท่านั้น ประสาท มีแต้ม ภาระที่ไม่จำเป็นด้านพลังงาน สำนักพิมพ์เมฆขาว หน้า 50 พ. ศ. 2547 |
กระทรวงพลังงานเคยมีนโยบายว่าจะปรับลดลงมาที่ 10% แต่ทำไมในแผนนี้ไม่มีการนำนโยบายนี้มาใช้ในการวางแผน นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ นโยบายที่ดูดีแต่ไม่มีการปฏิบัติใด ๆ เลย |
คำถามที่ 7 นโยบายลดความต้องการสูงสุดจำนวน 500 เมกะวัตต์ ในปี 2549 โดยให้ผู้ที่มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองอยู่แล้วได้เดินเครื่องปั่นไฟฟ้าของตนเองในช่วงที่มีความต้องการสูงสุด ทั้งนี้เพื่อประหยัดค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม (500 เมกะวัตต์ มูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ) |
แต่เมื่อพิจารณาจากการคำนวณในภาคผนวก 5 หน้า 63 ก็ไม่พบว่าได้มีการพิจารณาส่วนนี้เข้าไปในแผนเลย ยังคงคิดความต้องการไฟฟ้าสูงสุดเช่นเดิม ไม่มีการปรับลดแต่อย่างใด |
นี่เป็นการฟ้องว่าการจัดทำแผนดังกล่าวนี้มีความ " ประณีต " หรือ " เนียน " ( ในภาษาปักษ์ใต้ ) ขนาดไหน ? |
นอกจากนี้ยังมีการโอดครวญว่า " อาจจะมีเอกชนเข้าร่วมโครงการไม่ได้ตามเป้าหมาย " |
ตายจริง ! นี่หรือคือแผนระดับชาติ ยังไม่ทันที่จะได้ลงมือปฏิบัติก็ขลาดกลัวเสียแล้ว ลองใช้มาตรการสนับสนุนด้านราคาซิครับ ปกติค่าไฟฟ้าหน่วยละ 2.50 บาท ถ้าในช่วงที่มีความต้องการสูงสุด กฟผ . อาจจะจ่ายให้เอกชนที่ผลิตไฟฟ้ามาเสริมในราคานั้นหน่วยละ 20 บาท หรือเท่าใดก็ได้ แต่ให้คุ้มกับการไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม 500 เมกะวัตต์หรือ ไม่ต้องจ่าย 2 หมื่นล้านบาท |
ถ้าใน 1 ปี มีช่วงความต้องการสูงสุดอยู่ 100 ชั่วโมง ( ในความเป็นจริงประมาณ 70 ชั่วโมง ) รายจ่ายที่ทาง กฟผ . ต้องจ่ายค่าไฟฟ้าหน่วยละ 20 บาทรวมทั้งสิ้น 1,000 ล้านบาท (500,000 กิโลวัตต์ x 100 ชั่วโมง x 20 บาทต่อชั่วโมง ) ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้ประมาณเท่ากับค่าดอกเบี้ยร้อยละ 5 ของเงินต้น 2 หมื่นล้านบาทเท่านั้นเอง ทั้งนี้ยังไม่นับรวมค่าเสื่อมราคาและค่าเชื้อเพลิงของโรงไฟฟ้าของ กฟผ . ในกรณีที่ไม่ทำการลดความต้องการสูงสุดลง |
คำถามที่ 8 แผนพีดีพี 2004 ได้เริ่มจัดทำในขั้นตอนที่หนึ่ง เมื่อมกราคม 2547 โดยพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าสูงสุดในปี 2547 จะเท่ากับ 19,600 เมกะวัตต์ แต่ในเดือนมีนาคมพบว่า ความต้องการสูงสุดจริงซึ่งเป็นความต้องการสูงสุดของปีมีค่าเท่ากับ 19,326 เมกะวัตต์ |
นั่นคือคำพยากรณ์สูงกว่าความเป็นจริงถึง 274 เมกะวัตต์ ซึ่งหลายคนคิดว่าไม่มากนัก หรือผิดพลาดไปเพียง 1.42% ของความต้องการจริงเท่านั้น แต่อย่าลืมว่า ตัวเลขนี้จะต้องถูกนำไปคิดต่ออีก 12 ครั้ง ด้วยอัตราการเพิ่มต่าง ๆ กันในแต่ละปี รวม 12 ปีจะกลายเป็น 585 เมกะวัตต์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 2 .3 หมื่นล้านบาท สิ่งที่สงสัยก็คือเมื่อพบว่าผิดพลาดตั้งแต่ปีแรกแล้ว ทำไมไม่ปรับปรุง? |
ข้อสงสัยเกี่ยวกับ " โรงไฟฟ้านินจา " ในภาคใต้ |
ด้วยเหตุที่ผมได้ติดตามเรื่องท่อก๊าซไทย - มาเลเซียมานาน แต่พบว่าในแผนพีดีพี 2002 ทาง กฟผ . ไม่เคยคิดว่าจะสร้างโรงไฟฟ้าในจังหวัดสงขลาเพื่อมารองรับก๊าซจากโครงการนี้แต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่โครงการท่อก๊าซไทย - มาเลเซียได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2540 ( ค . ศ .1997) |
แต่อยู่ ๆ โรงไฟฟ้าขนาด 700 เมกะวัตต์ก็โผล่ออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ราวกับนินจา ในแผนนี้มีข้อน่าสงสัยหลายประเด็น ดังต่อไปนี้ |
คำถามที่ 9 แผนฉบับนี้ ( หน้า 15) กล่าวว่า " ในปี 2546 ภาคใต้มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเท่ากับ 1,454 เมกะวัตต์ ในขณะที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้าพร้อมจ่ายในภาคใต้เพียง 1,281 เมกะวัตต์ ดังนั้นความต้องการไฟฟ้าส่วนที่เหลือจึงจำเป็นต้องรับไฟฟ้าจากภาคกลาง ซึ่งปัจจุบันสามารถส่งได้เพียง 350-400 เมกะวัตต์เท่านั้น ในขณะเดียวกันก็มีสายส่งเชื่อมโยงไทย - มาเลเซียเป็นกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองอีก 300 เมกะวัตต์ " |
ในข้อเท็จก็คือว่า |
1. เรื่องสายส่งเชื่อมไทย - มาเลเซีย ก่อนหน้านี้ ไทยกับมาเลเซียมีการปรับปรุงสายส่งเพื่อแลกกระแสไฟฟ้ากัน ทั้งนี้เพื่อการประหยัดไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าโดยฝ่ายไทยได้ลงทุนปรับปรุงสายส่งคิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านบาท ในอดีตโดยรวมแล้วประเทศไทยเป็นฝ่ายส่งไฟฟ้าให้มาเลเซียมากกว่าที่มาเลเซียส่งให้ไทย คิดเป็นมูลค่าปีละ 20 ล้านบาท |
แต่ในวันที่ 6 พ . ค . 2547 ฝ่ายไทยตกลงจะรับซื้อไฟฟ้าจากมาเลเซียฝ่ายเดียวในช่วง 2547-2550 ในราคาที่ค่อนข้างถูกคือหน่วยละ 1.44 บาท ( ข่าวจากไทยโพสต์ 7 พ . ค . 47) |
2. ในแผนนี้ ( หน้า 55) ระบุว่าภาคใต้มีกำลังผลิต ( ในเดือนมีนาคม 2547) ถึง 2,020 เมกะวัตต์ คือ พลังน้ำ 2 แห่งรวม 312 เมกะวัตต์ กระบี่ 340 เมกะวัตต์ สุราษฎร์ธานี 244 เมกะวัตต์ ขนอมรวม 824 เมกะวัตต์ และสายส่งมาเลเซีย 300 เมกะวัตต์ |
3. ส่งมาจากภาคกลาง 350 ถึง 400 เมกะวัตต์ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้เป็นเรื่องของภาคใดพึ่งพิงภาคใด เพราะอยู่ในแผนการมานานแล้ว อาจจะมีการสูญเสียในสายไฟฟ้าบ้างเนื่องจากระยะทางไกล แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำคัญนัก |
ดังนั้นเมื่อรวมรายการ (2) และ (3) เข้าด้วยกัน ภาคใต้มีความสามารถจะผลิตไฟฟ้าได้สูงถึง 2,370 ถึง 2,420 เมกะวัตต์ ในขณะที่ความต้องการสูงสุดของปี 2547 อยู่ที่ 1,500 เมกะวัตต์ |
นั่นคือ ในปี 2547 ภาคใต้จะมีไฟฟ้าสำรองอยู่ระหว่าง 870 ถึง 920 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นร้อยละ 58 ถึง 61 ซึ่งสูงกว่าค่าที่ควรจะเป็นคือ 15% อยู่หลายเท่าตัว |
4. ขณะนี้ได้มีการปรับปรุงสายเชื่อมโยง บางสะพานสุราษฎร์ธานี (230/500 เควี ) ซึ่งจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน ปี 2549 ซึ่งจะให้ได้กำลังผลิตอีก 850 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ยังมีระยะที่ 2 ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2555 อีก 2,000 เมกะวัตต์ |
คำถามเพิ่มเติม คือ แล้ว กฟผ . จะสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ขนาด 700 เมกะวัตต์ที่สงขลาไปเพื่ออะไรอีก |
ในรายงานของคณะกรรมการ กฟผ . (1 เมษายน 2546) ได้ให้เหตุผลว่า " เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการวางท่อก๊าซไทย - มาเลเซีย " เท่านั้น |
ข่าวล่าสุดจากรักษาการณ์ผู้ว่า กฟผ . ว่า โรงไฟฟ้าใหม่จะใช้ก๊าซจากแหล่งก๊าซในทะเลโดยตรง โดยไม่รับก๊าซจากโรงแยกก๊าซไทย - มาเลเซีย ** |
นี่เป็นการยืนยันว่า โครงการท่อก๊าซไทย - มาเลเซียเป็นการนำก๊าซในอ่าวไทยไปให้มาเลเซียใช้ตามลำพังเท่านั้น เพราะก๊าซที่ทางมาเลเซียต้องการก็เต็มท่ออยู่แล้ว |
สรุป |
เมื่อภาครัฐได้ให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อมูลเท็จจริงของหน่วยงานตนเองเช่นนี้แล้ว คำถามสุดท้ายคือ |
* ประสาท มีแต้ม ภาระที่ไม่จำเป็นด้านพลังงาน สำนักพิมพ์เมฆขาว หน้า 50 พ . ศ . 2547 |
** โฟกัสภาคใต้ 10-16 กรกฎาคม 2547 |