การเสริมสร้างพลังทางศีลธรรมในสังคมไทย (๑)
คอลัมน์/ชุมชน
เมืองไทยในอดีตนั้นได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีมาตรฐานทางศีลธรรมค่อนข้างสูง เป็นที่ประจักษ์ในสายตาของชาวต่างชาติ เมื่อสังฆราชปัลเลอกัวซ์มาเยือนเมืองไทยในสมัยรัชกาลที่ ๔ นั้น ท่านได้บันทึกถึงชาวสยามว่า
"ชาวประชาชาตินี้มีที่น่าสังเกตตรงอัธยาศัยอันอ่อนโยนและมีมนุษยธรรม ในพระนครซึ่งมีพลเมืองค่อนข้างคับคั่ง ไม่ค่อยปรากฏว่ามีการทะเลาะวิวาทกันอย่างรุนแรง ส่วนฆาตกรรมนั้นเห็นกันว่าเป็นกรณีพิเศษมากทีเดียว บางทีตลอดทั้งปีไม่มีการฆ่ากันตายเลย....ไม่เพียงแต่ต่อมนุษย์ด้วยกันเท่านั้นที่คนไทยมีมนุษยธรรม ยังเผื่อแผ่ไปถึงสัตว์เดียรัจฉานอีกด้วย"
ความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับของลาลูแบร์ ซึ่งพูดถึงชาวสยามสมัยพระนารายณ์หรือ ๒๐๐ ปีก่อนหน้านั้นว่า เป็นชนชาติที่สมถะอย่างยิ่ง อีกทั้งยังไม่ชอบการฆ่าและกักขังสัตว์
จวบจนสมัยรัชกาลที่ ๗ เมื่อคาร์ล ซิมเมอร์แมน มาสำรวจสภาพเศรษฐกิจไทย เขาอดไม่ได้ที่จะชื่นชมว่า "พลเมืองของประเทศสยามมีนิสัยใจคอดี และไม่มีความโลภในการสะสมโภคทรัพย์ไว้เป็นมาตรฐานแห่งการครองชีวิต การละทิ้งเด็ก การขายเด็ก การสมรสในวัยเยาว์ และความประพฤติชั่วร้ายต่าง ๆ ซึ่งอนารยชนชอบประพฤติกัน ไม่ปรากฏในหมู่คนไทยเลย"
คำบรรยายดังกล่าวเกือบจะเรียกได้ว่าตรงข้ามกับสภาพในปัจจุบัน ทุกวันนี้ประเทศไทยมีอาชญากรรมในอัตราที่สูงมาก มีคนถูกฆ่าตายวันละเกือบ ๒๐ คนหรือตายเกือบทุกชั่วโมง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี เช่นเดียวกับ คดีอุกฉกรรจ์อื่น ๆ เช่น คดีข่มขืน (ซึ่งเพิ่มถึงร้อยละ ๓๐ ในชั่ว ๗ ปี คือจาก ๓,๗๔๑ รายในปี ๒๕๔๐ เป็น ๕,๐๕๒ รายในปี ๒๕๔๗)[๑] ปัจจุบันจึงมีผู้หญิงถูกกระทำชำเราไม่ต่ำกว่า ๑๔ คนต่อวัน ในขณะที่เด็กถูกละเมิดทางเพศทุก ๒ ชั่วโมง[๒]
นอกจากนั้นประเทศไทยยังมีปัญหาความรุนแรงในลักษณะอื่นอีกมาก เช่น ความรุนแรงในครอบครัว มีเด็กและผู้หญิงถูกบิดาและสามีทำร้ายเป็นจำนวนมาก ในปี ๒๕๔๕ ตัวเลขสูงถึง๔,๔๓๕ ราย[๓] เฉพาะในกรุงเทพมหานคร มีผู้หญิงถึงร้อยละ ๒๓ ที่ถูกกระทำรุนแรงจากสามีหรือคู่ครอง [๔] ขณะที่ในโรงเรียนนั้นมีการรุมตบตีและทำร้ายร่างกายกันอย่างแพร่หลาย ที่น่าวิตกก็คือ การกระทำดังกล่าวได้รับการชื่นชมจากนักเรียนจำนวนมาก โดยที่ผู้ที่ลงมือทำร้ายก็หาได้รู้สึกผิดหรืออับอายไม่ กลับพอใจที่มีการถ่ายวีดีโอเหตุการณ์ดังกล่าวและเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง ราวกับว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นวีรกรรม
ความรุนแรงในลักษณะรุมทำร้ายยังมีให้เห็นอีกมากมาย เช่น การรุมทำร้ายหรือการตีกันระหว่างนักเรียนต่างสถาบันจนบางครั้งถึงแก่ชีวิต เพียงแค่เวลา ๘ เดือน ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๔๖ ถึง สิงหาคม ๒๕๔๗ มีความรุนแรงเกิดขึ้นระหว่างนักเรียนนักศึกษากว่า ๓,๐๐๐ ครั้ง[๕] นอกจากนั้นยังมีการรุมประชาทัณฑ์ผู้ต้องหาหรือผู้ที่กระทำความผิดซึ่งหน้ากระทั่งถึงแก่ความตายด้วยความสะใจ มิพักต้องพูดถึงความรุนแรงโดยรัฐ ซึ่งได้รับการแซ่ซ้องจากประชาชน อาทิ การฆ่าตัดตอนหรือทำวิสามัญฆาตกรรมในสงครามปราบปรามยาเสพติดซึ่งมีคนตายถึง ๒,๕๐๐ คนภายในเวลา ๒ เดือน การใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม (ดังกรณี ตากใบ) หรือใช้วิธีการนอกกฎหมายกับผู้ต้องหาในการก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
กล่าวอีกนัยหนึ่งทุกวันนี้ความรุนแรงมิได้ผูกขาดโดยอาชญากรหรือคนร้าย (ซึ่งมักถูกมองว่ามีจิตใจหยาบช้า)เท่านั้น แต่ได้กลายเป็นพฤติกรรมของคนปกติธรรมดาในสังคมไทยไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็ก ชายหรือหญิง เจ้าหน้าที่หรือพลเมืองดี ความรุนแรงดังกล่าวยังสะท้อนจากความเห็นของคนไทยร้อยละ ๖๗ ที่เห็นด้วยให้มีการลงโทษด้วยวิธีรุนแรง คือ ประหารชีวิตและวิสามัญฆาตกรรม สำหรับกรณีนักเรียนยกพวกตีกัน ฆ่าข่มขืน ก่อความไม่สงบในภาคใต้ และผู้ค้ายาบ้า (อีกร้อยละ ๑๖.๗๔ เห็นควรให้ติดคุกตลอดชีวิต)[๖] ในขณะที่เยาวชนร้อยละ ๕๙.๕ เปิดเผยว่ามีความคิดที่จะใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาความขัดแย้ง โดยร้อยละ ๓๙.๕ คิดใช้อาวุธคือมีดหรือปืนแก้ปัญหา[๗]
ในด้านการประทุษร้ายต่อทรัพย์สิน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นอกจากการปล้น จี้ ลักขโมยซึ่งเกิดขึ้นอย่างดกดื่น รวมทั้งการยึดเอาเงินหรือทรัพย์สินที่ผู้อื่นทำตกไว้มาเป็นของตน (ซึ่งจัดเป็นอทินนาทานอย่างหนึ่ง) การคดโกงหรือคอรัปชั่น นับเป็นปรากฏการณ์ที่โดดเด่นที่สุด เนื่องจากแพร่หลายไปทุกวงการและทุกระดับ เมื่อไม่นานมานี้ประเทศไทยถูกจัดว่ามีความโปร่งใสอยู่ในอันดับที่ ๓๓ ซึ่งต่ำกว่า ฟิลิปปินส์ จีน และเม็กซิโก ปรากฏการณ์ดังกล่าวสอดรับกับความเห็นของเยาวชนร้อยละ ๘๓ ที่เห็นว่า การซื่อมากไปนั้นไม่ดีเพราะจะถูกคนเอาเปรียบ ขณะที่ร้อยละ ๕๑ เห็นว่า ถึงแม้จะโกงบ้าง ก็ไม่เป็นไร หากมีผลงานหรือทำประโยชน์แก่สังคม[๘] ทุกวันนี้พูดกันมากขึ้นว่าการคอรัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ใครที่ไม่คอรัปชั่น ไม่ใช่เพราะไม่อยาก แต่เป็นเพราะไม่มีโอกาสเสียมากกว่า เพราะแม้แต่เศรษฐีที่มีเงินนับหมื่นล้านก็ยังคอรัปชั่น เป็นแต่ไม่มีใบเสร็จเป็นหลักฐานเท่านั้น
ควรกล่าวด้วยว่านอกจากการคดโกงที่เกี่ยวข้องกับเงินทองแล้ว ยังมีการคดโกงอีกประเภทหนึ่งซึ่งนิยมกระทำอย่างดาษดื่นมาก ได้แก่ การทุจริตในการสอบทุกระดับ ทั้งในแวดวงของคฤหัสถ์และภิกษุสามเณร รวมไปถึงการวิ่งเต้นใช้เส้นสายซึ่งสร้างความไม่เป็นธรรมแก่ผู้ที่มีความสามารถเหมาะสมกว่า
ในเรื่องความไม่ซื่อตรงต่อคู่ครองหรือความสัมพันธ์ทางเพศที่ขาดความรับผิดชอบนั้น เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่าเป็นปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของสังคมไทย ในการสำรวจพฤติกรรมของคนไทยในกรุงเทพมหานคร พบว่า ผู้ชายร้อยละ ๔๑ ตอบว่าเคยนอกใจ (อีกร้อยละ ๒๒ ตอบว่าอาจจะเคย) ส่วนผู้หญิงร้อยละ ๒๒ เคยนอกใจคู่ครอง (อีกร้อยละ ๒๔ จำไม่ได้) นอกจากนั้น ผู้ชายถึงร้อยละ ๔๕ ตอบว่าตนมีคู่ครองปีละ ๓ คน อีกร้อยละ ๒๕ ตอบว่ามี ๒ คนต่อปี ร้อยละ ๓๐ เท่านั้นที่ตอบว่ามีเพียงคนเดียว[๙]
พฤติกรรมดังกล่าวมิได้จำกัดเฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้น หากยังแพร่หลายในหมู่เยาวชน จนเกิดค่านิยมเปลี่ยนคู่ แลกคู่ หรือไล่ล่าหาคู่นอนให้ได้มากที่สุด ดังมีการสำรวจพบว่าร้อยละ ๒๙.๔ ของวัยรุ่นในกรุงเทพ ฯ เคยมีเพศสัมพันธ์โดยมีคู่นอนเฉลี่ย ๒ คน ในกลุ่มนี้ร้อยละ ๒๓.๘ นิยมมีคู่นอนประจำตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป ที่น่าเป็นห่วงคือร้อยละ ๒๒.๗ ของกลุ่มวัยรุ่นที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว ใช้เวลาสานความสัมพันธ์ไม่เกิน ๑ วันก็ตกลงปลงใจมีเพศสัมพันธ์ด้วยกัน[๑๐] ความสำส่อนทางเพศหรือเพศสัมพันธ์ที่ขาดความรับผิดชอบดังกล่าว นับเป็นสาเหตุสำคัญของการทำแท้งปีละ ๓ แสนคน หรือวันละ ๑,๐๐๐ คน[๑๑] ขณะที่มีเด็กวัยรุ่นมาทำคลอดทุก ๆ ๑๐ นาที[๑๒]ผลที่สืบเนื่องตามมาก็คือมีการทิ้งทารกตามที่ต่าง ๆ เฉลี่ยวันละ ๓ คน[๑๓] และถ้ารวมเด็กที่มิใช่ทารก จำนวนจะเพิ่มขึ้นเป็นวันละเกือบ ๒๐ คน หรือปีละกว่า ๖,๐๐๐ แสนคน[๑๔] ทั้งนี้ยังไม่พูดถึงจำนวนเด็กที่มาเป็นโสเภณีมากขึ้นเพื่อตอบสนองความสำส่อนทางเพศของผู้ใหญ่ ซึ่งคาดว่าปัจจุบันมีเด็กขายบริการทางเพศถึงร้อยละ ๔๐ ของโสเภณีที่เป็นผู้ใหญ่[๑๕]
พฤติกรรมที่สมควรกล่าวถึงเพราะมีผลกระทบต่อศีลธรรม หรือการอยู่ร่วมกันด้วยดีในสังคม ได้แก่ การหมกมุ่นในอบายมุข อาทิ สุราเมรัย ปัจจุบันคนไทยกินเหล้าสูงสุดเป็นอันดับ ๑ ในเอเชีย และติดอันดับ ๑ ใน ๕ ของโลก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ประเทศอื่นมีแนวโน้มลดลง กลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนจากปรากฏการณ์ดังกล่าวคือเยาวชน ทุกวันนี้มีเด็กระดับมัธยมศึกษาขึ้นไปร้อยละ ๓๘ กินเหล้า และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะวัยรุ่นหญิง กินเหล้าเพิ่มเป็น ๕.๖ เท่าในชั่วเวลาเพียง ๗ ปี (ปี ๒๕๓๙-๒๕๔๖) [๑๖] สำหรับยาบ้านั้น แม้ว่าปริมาณการขายจะลดลงไปมาก แต่จำนวนผู้เสพก็ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้นยังพบว่าคนไทยนิยมเล่นการพนันและซื้อหวยอย่างแพร่หลาย ประมาณว่า ๑ ใน ๓ ของครัวเรือนทั้งประเทศซื้อหวยทั้งใต้ดินและบนดินถึงเดือนละ ๑,๘๕๐ บาทโดยเฉลี่ย จำเพาะหวยใต้ดินมูลค่าการเล่นทั้งประเทศมีจำนวนสูงถึงปีละ ๔ แสนล้านบาท[๑๗] ยังไม่นับการพนันบอล ซึ่งพบว่าร้อยละ ๒๕ ของผู้ที่อยู่ในวงจรการพนันฟุตบอลเป็นเยาวชน และคาดว่าจำนวนเงินที่ประชาชนต้องสูญเสียให้กับการพนันฟุตบอลสูงถึง ๑๒,๐๐๐-๑๕,๐๐๐ ล้านบาทต่อปี[๑๘]
พฤติกรรมดังกล่าว เมื่อผนวกกับเมื่อผนวกกับความฟุ้งเฟ้อและค่านิยมบริโภค ซึ่งแพร่หลายไปยังทุกระดับ ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็ก เมืองหรือชนบท จึงนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ มากมาย อาทิ ปัญหาหนี้สิน (ซึ่งมีสูงถึง ๑๑๕,๓๕๕ ต่อครอบครัวโดยเฉลี่ย) ปัญหาความแตกแยกในครอบครัว และปัญหาอาชญากรรม ไม่ว่าการทำร้ายถึงแก่ชีวิต การปล้น จี้ ลักขโมย รวมไปถึงการฆ่าตัวตาย ซึ่งทุกวันนี้มีถึงวันละ ๑๓ คน หรือ ๒ คนทุก ๓ ชั่วโมง [๑๙]
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
[๑] โครงการสุขภาพคนไทย ๒๕๔๘
[๒] โครงการติดตามสภาวการณ์เด็กและเยาวชนรายจังหวัด สถาบันรามจิตติ ๒๕๔๘
[๓] นสพ.ผู้จัดการ ๒๕๔๖ อ้างใน เด็กไทยในมิติวัฒนธรรม (กลุ่มเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ๒๕๔๘) น.๒๗
[๔] สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล อ้างใน การสาธารณสุขไทย ๒๕๔๔-๒๕๔๗ (กระทรวงสาธารณสุข ๒๕๔๙)น(๗๔
[๕] นสพ.มติชน วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๔๗ อ้างใน เด็กไทยในมิติวัฒนธรรม น.๑๕๙
[๖] งมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต ปี ๒๕๔๘
[๗] มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ปี ๒๕๔๖
[๘] องค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย ปี๒๕๔๗
[๙] การสำรวจของดร.แมนดริลลอ ซิริลลอ อ้างใน พุทธิกา สิงหาคม ๒๕๔๘
[๑๐] การสำรวจความเห็นของมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ปี ๒๕๔๘
[๑๑] ประมาณการของพญ.สุวรรณ เรีองกาญจนเศรษฐ์ ผู้อำนวยการศูนย์สร้างสริมสุขภาพวัยรุ่น ร.พ.รามาธิบดี
[๑๒] โครงการติดตามสภาวการณ์เด็กและเยาวชนรายจังหวัด สถาบันรามจิตติ ๒๕๔๘
[๑๓] โครงการติดตามสภาวการณ์เด็กและเยาวชนรายจังหวัด สถาบันรามจิตติ ๒๕๔๘
[๑๔] กองกลาง กรมพัฒนสังคมและบริการ อ้างในการสาธารณสุขไทย ๒๕๔๔-๒๕๔๗ น.๗๖
[๑๕] รายงานสภาวการณ์เด็กและเยาวชนไทย ๒๕๔๐ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
[๑๖] มูลนิธิเมาไม่ขับ อ้างใน เด็กไทยในมิติวัฒนธรรม น.๙๔
[๑๗] คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ๒๕๔๙
[๑๘] คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโครงการติดตามสภาวการณ์เด็กและเยาวชนรายจังหวัด สถาบันรามจิตติ ๒๕๔๘ ๒๕๔๘
[๑๙] กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ๒๕๔๘