การเสริมสร้างพลังทางศีลธรรมในสังคมไทย (๒)
คอลัมน์/ชุมชน
ความล้มเหลวของสถาบันทางศีลธรรม
สังคมไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตทางศีลธรรม ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วยังเป็นรากเหง้าของวิกฤตต่าง ๆ อีกมากมายในปัจจุบัน อาทิ วิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม วิกฤตทางการเมือง และวิกฤตทางเศรษฐกิจ (ซึ่งสามารถหวนกลับมาได้ทุกเวลา) รวมไปถึงช่องว่างที่ถ่างกว้างขึ้นระหว่างคนรวยกับคนจน และความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นภายในชาติ นอกจากนั้นวิกฤตศีลธรรมดังที่กล่าวมายังเป็นภาพสะท้อนถึงความล้มเหลวสถาบันต่าง ๆ ซึ่งมีหน้าที่ในการเสริมสร้างศีลธรรมในสังคมไทย อาทิ อาทิ ครอบครัว ชุมชน โรงเรียน และสถาบันศาสนา
ครอบครัว
ครอบครัวเป็นสถาบันแรกที่มีหน้าที่ให้การกล่อมเกลาทางศีลธรรมแก่ผู้คนโดยเฉพาะในช่วงต้น ๆ ของชีวิต ในอดีตครอบครัวได้มีบทบาทอย่างสำคัญในการจรรโลงศีลธรรมในสังคม แต่ปัจจุบันครอบครัวมีบทบาทลดน้อยถอยลงอย่างเห็นได้ชัด หรือไม่มีความพร้อมที่จะทำหน้าที่ดังกล่าวได้ ส่วนหนึ่งเพราะต้องใช้เวลาไม่น้อยกับการทำมาหาเลี้ยงชีพ ยิ่งในกรุงเทพ ฯ ด้วยแล้ว จำนวนมากต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่และกว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำแล้ว จึงมีเวลาอยู่กับลูกน้อยมาก พ่อแม่ถึงร้อยละ ๔๓ ในกรุงเทพมหานคร ยอมรับว่ารู้สึกห่างเหินกับลูก เนื่องจากในแต่ละวันมีเวลาทำกิจกรรมร่วมกับลูกเพียง ๑-๓ ชั่วโมงเท่านั้น [1] สภาพดังกล่าวอาจไม่ส่งผลเสียหายมากนักหากครอบครัวนั้นเป็นครอบครัวขยาย มีปู่ย่าตายายหรือลุงป้าน้าอาช่วยดูแล แต่ปัจจุบันครอบครัวส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว ดังนั้นเมื่อพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูกก็เท่ากับว่าบ้านมิใช่สถานที่ที่จะให้การกล่อมเกลาลูกได้ดีดังแต่ก่อน
อย่างไรก็ตาม บ้านที่มีพ่อและแม่อยู่ด้วยกันกับลูกนั้นยังนับว่าดี เพราะปัจจุบันมีบ้านจำนวนมากที่มีพ่อหรือแม่เพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้น ประมาณว่าครอบครัวพ่อแม่เดี่ยวในปัจจุบันมีถึง ๑.๓ ล้านครอบครัว ที่ร้ายกว่านั้นก็คือมีครอบครัวจำนวนไม่น้อยที่ลูกไม่ได้พบหน้าพ่อแม่เลยเป็นเวลานาน ๆ จำเพาะในชนบท พบว่ามีเด็กถึงร้อยละ ๓๐ ที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่หรือพ่อแม่แยกทางกัน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากอัตราการหย่าร้างที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังปัจจุบันตัวเลขดังกล่าวมีสูงถึง ๑ ใน ๔ ของผู้ที่จดทะเบียนแต่งงานกัน[2]
ตัวเลขดังกล่าวย่อมชี้ให้เห็นว่าครอบครัวในปัจจุบันได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากสภาพความเปลี่ยนแปลงในสังคม ทำให้แม้แต่การที่จะรักษาสภาพความเป็นครอบครัวที่มีพ่อแม่และลูกอยู่กันอย่างพร้อมหน้าก็เป็นไปได้ยากเสียแล้ว ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงอิทธิพลของพ่อแม่ที่มีต่อลูก ในหลายครอบครัวการทะเลาะเบาะแว้งของพ่อแม่มีผลต่อพฤติกรรมของลูกมาก ดังมีตัวเลขชี้ว่าร้อยละ ๕๕ ของเด็กในสถานพินิจมาจากครอบครัวที่แตกแยก [3] แต่นอกจากพฤติกรรมในทางรุนแรงและผิดศีลธรรมของเด็กแล้ว พฤติกรรมในทางลบด้านอื่น ๆ เช่น พฤติกรรมในทางบริโภคนิยมหรือความหลงใหลในวัตถุและอบายมุข เด็กจำนวนไม่น้อยก็ได้รับอิทธิพลมาจากพฤติกรรมของพ่อแม่ ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่พ่อแม่นิยมปรนเปรอลูกด้วยวัตถุเพื่อทดแทนเวลาที่ไม่มีให้แก่ลูก หรือการใช้เวลาว่างกับลูกไปในสถานที่ที่ส่งเสริมบริโภคนิยม เช่น พาลูกไปเที่ยวห้างเป็นประจำ
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ครอบครัวมีอิทธิพลน้อยลงในการสร้างสำนึกทางศีลธรรมของอนุชน ทั้งนี้มิพักต้องกล่าวถึงความเข้าใจของพ่อแม่จำนวนมากที่เห็นว่าการกล่อมเกลาทางศีลธรรมนั้นเป็นหน้าที่หลักของโรงเรียนต่างหาก หาใช่หน้าที่ของพ่อแม่ไม่
ชุมชน
ในอดีตครอบครัวถูกแวดล้อมด้วยชุมชน ชุมชนจึงมีความสำคัญรองลงมาจากครอบครัวในการกล่อมเกลาศีลธรรมแก่บุคคลตั้งแต่เล็กจนโต การกล่อมเกลานั้นอาจเกิดจากปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในชุมชน ซึ่งมักเอาใจใส่ดูแลกันในฐานที่เป็นเครือญาติกันหรือเพราะนับญาติกันทั้งหมู่บ้าน นอกจากนั้นการกล่อมเกลาส่วนหนึ่งยังเกิดจากประเพณีที่มีส่วนร่วมกันทั้งชุมชน ซึ่งช่วยเสริมสร้างสำนึกทางศาสนา ท่าทีต่อธรรมชาติแวดล้อม และความรู้สึกผูกพันแน่นแฟ้นกับชุมชน นอกจากนั้นวิถีชีวิตที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันในชุมชน ยังทำให้ทุกคนไม่อาจทำใจตนหรือละเมิดกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมของชุมชนได้ การละเมิดกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมของชุมชนอาจมีผลให้ถูกลงโทษจากชุมชนได้ ดังนั้นนอกจากการกล่อมเกลาแล้วชุมชนยังมีบทบาทในการกำกับศีลธรรมของบุคคลด้วย
อย่างไรก็ตาม สภาพดังกล่าวได้เปลี่ยนไปอย่างแทบจะสิ้นเชิง ความผูกพันแน่นแฟ้นภายในชุมชนได้จางคลายไปมาก เพราะผู้คนมีความจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกันน้อยลง เศรษฐกิจสมัยใหม่ทำให้ผู้คนพึ่งพาตลาดและปัจจัยภายนอกมากขึ้น รวมถึงการไปทำงานนอกชุมชน นอกจากนั้นการขยายตัวของอำนาจรัฐ ทำให้ระบบราชการเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ผู้คนจึงหันไปพึ่งพาหน่วยงานรัฐมากกว่าชุมชน ผู้คนจึงเป็นอิสระจากชุมชนเป็นลำดับ และใช้ชีวิตในลักษณะต่างคนต่างอยู่มากขึ้น ขณะที่ประเพณีต่าง ๆ ก็มีผู้คนเข้าร่วมน้อยลง เพราะไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตสมัยใหม่ จึงมีอิทธิพลต่อสำนึกทางศีลธรรมของผู้คนน้อยลง
กล่าวอีกนัยหนึ่งกระแสการพัฒนาให้ทันสมัย ได้ทำให้ชุมชนอ่อนแอเป็นลำดับ ขณะเดียวกันก็ทำให้บุคคลมีความเป็นปัจเจกมากขึ้น มีอิสระที่จะทำตามใจตัวมากขึ้น โดยชุมชนไม่สามารถควบคุมได้ดังแต่ก่อน ยิ่งในเมืองด้วยแล้ว ความเป็นชุมชนแทบไม่เหลือ คงมีแต่ละแวกบ้าน ซึ่งผู้คนก็แทบจะไม่รู้จักชื่อหรือเห็นหน้าค่าตากันเลย พ้นไปจากละแวกบ้านก็คือ "พื้นที่แวดล้อม" ซึ่งในปัจจุบันมีอิทธิพลในทางลบยิ่งกว่าทางบวก เนื่องจากเต็มไปด้วย "พื้นที่เสี่ยง" มากมาย อาทิ ร้านเหล้า ผับ บาร์ คาราโอเกะ โรงแรมม่านรูด อาบอบนวด ซ่องโสเภณี ขณะที่ "พื้นที่ดี" (เช่น ลานกีฬา ลานกิจกรรม ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์)มีน้อยมาก จากการสำรวจทั้งประเทศพบว่า ในเขตเมืองนั้นมีพื้นที่เสียงมากกว่าพื้นที่ดีประมาณ ๓ เท่า [4]
วัด
วัดมีบทบาทโดยตรงในการสร้างสำนึกทางศีลธรรมของผู้คนในสังคม ในอดีตวัดมีบทบาทดังกล่าวได้ก็เพราะวัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน กิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชนล้วนจัดในพื้นที่ของวัด ไม่ว่ากิจกรรมทางศาสนา หรืองานรื่นเริง (เช่น งานวัด) ประเพณีต่าง ๆ ก็อาศัยวัดเป็นศูนย์กลาง ยิ่งไปกว่านั้นพระสงฆ์ยังมีบทบาททางสังคมมากมาย นอกเหนือจากบทบาททางศาสนาและพิธีกรรม เช่น การให้การศึกษากุลบุตร การเยียวยารักษาโรค การสงเคราะห์ผู้ทุกข์ยาก การอนุรักษ์และสืบทอดศิลปวัฒนธรรม การระงับความขัดแย้งในชุมชน เป็นต้น อีกทั้งท่านยังเป็นแบบอย่างทางศีลธรรมที่ประชาชนศรัทธาและนับถือ ดังนั้นวัดจึงมีบทบาทอย่างมากในการให้การศึกษาและกล่อมเกลาทางศีลธรรมแก่ประชาชนควบคู่ไปกับกิจกรรมด้านอื่น ๆ
แต่ปัจจุบันวัดได้ถูกแยกออกไปจากวิถีชีวิตของผู้คนทั่วไป บทบาททางสังคมที่วัดเคยมี ได้ถูกหน่วยงานอื่นดึงเอาไปทำ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล กรมประชาสงเคราะห์ กรมการปกครอง ผู้คนมีความจำเป็นต้องเข้าวัดน้อยลง อีกทั้งวิถีชีวิตที่เร่งรัด ก็ทำให้มีเวลาน้อยลงที่จะมาวัด แม้แต่ในวันสำคัญทางศาสนา ในอีกด้านหนึ่งฆราวาสก็มีการศึกษามากขึ้น ในขณะที่พระซึ่งเคยเป็นผู้นำทางสติปัญญา กลับมีความรู้น้อยลงโดยเฉพาะในทางโลก จึงตามฆราวาสไม่ทัน ยิ่งไปกว่านั้นพระสงฆ์จำนวนมากนับวันจะมีความรู้ทางธรรมน้อยลง อาศัยการท่องจำเป็นหลัก จึงไม่สามารถสื่อธรรมให้ฆราวาส เข้าใจได้อย่างถ่องแท้ หรือสอนธรรมอย่างสอดคล้องกับวิถีชีวิตสมัยใหม่ ที่ร้ายก็คือศรัทธาในปฏิปทาของฆราวาสที่มีต่อพระสงฆ์ก็ลดน้อยถอยลงเป็นลำดับ เพราะพระสงฆ์จำนวนมากไม่สามารถเป็นแบบอย่างในทางศีลธรรมแก่ประชาชนได้ โดยเฉพาะในด้านการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย เสียสละ ในขณะที่จำนวนไม่น้อยละเมิดพระธรรมวินัยอย่างร้ายแรงจนเป็นข่าวอยู่เนือง ๆ
สภาพความเหินห่างจากวัดของประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนนั้นเป็นเรื่องที่พูดกันมานานแล้ว แต่หากพระภิกษุสงฆ์ยังเป็นที่ศรัทธานับถือของประชาชน อย่างน้อยปฏิปทาของท่านก็สามารถเป็นแบบอย่างหรือแรงบันดาลใจทางศีลธรรมแก่ผู้คนได้ แม้จะไม่ค่อยได้มีโอกาสเข้าวัดฟังธรรมจากท่านเท่าใดนัก แต่อุปสรรคสำคัญในเวลานี้ก็คือแม้แต่เยาวชนก็มีศรัทธาน้อยลงต่อพระสงฆ์ ในการสำรวจความเห็นของนักศึกษาเมื่อปี ๒๕๓๙ ว่าเหตุใดจึงไม่ไปฟังเทศน์ ร้อยละ ๔๑ ตอบว่า "เพราะพระสงฆ์ไม่น่านับถือหรือรู้ธรรมะไม่ดีพอ" [5] มาถึงวันนี้ผ่านมาแล้ว ๑๐ ปี ทัศนคติของนักศึกษาต่อพระสงฆ์ไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น กลับเป็นไปในทางตรงกันข้ามด้วยซ้ำ
โรงเรียน
โรงเรียนเป็นสถาบันอย่างใหม่ที่เกิดขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ให้การศึกษาโดยตรงแก่ประชาชน ในขณะที่ครอบครัว ชุมชน และวัดถูกลดทอนบทบาทลงไป ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผู้คนใช้เวลาอยู่ในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษามากขึ้นเป็นลำดับ โดยปัจจุบันเริ่มตั้งแต่อายุเพียง ๒-๓ ขวบเท่านั้น แต่เวลาที่เพิ่มมากขึ้นในโรงเรียนและสถาบันการศึกษา ไม่ได้ช่วยให้ระดับศีลธรรมของผู้คนเพิ่มขึ้นเลย กลับลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ปัจจุบันนี้พูดกันมากขึ้นว่าครูและอาจารย์ไม่มีเวลาให้แก่ลูกศิษย์เท่าที่ควร เพราะนอกจากจะถูกงานเอกสารแย่งชิงเวลาไปจากงานสอนแล้ว ครูจำนวนมากยังต้องทำอาชีพพิเศษ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นและมีหนี้สินเพิ่มขึ้นด้วย ที่สำคัญก็คือครูที่เป็นแบบอย่างในทางศีลธรรมมีน้อยลงเป็นลำดับ ในทางตรงกันข้ามครูที่เอาเปรียบหรือทำร้ายลูกศิษย์กลับเพิ่มมากขึ้น ศรัทธาในครูและอาจารย์จึงลดลงอย่างมาก
ใช่แต่เท่านั้นนับวันโรงเรียนได้กลายเป็นแหล่งบ่มเพาะค่านิยมที่ผิดแก่เยาวชน อาทิ ค่านิยมบริโภค (ซึ่งเกิดจากการเห็นแบบอย่างจากครูและการประชันขันแข่งในหมู่นักเรียน) และการนิยมความรุนแรง โรงเรียนกลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ไม่เฉพาะความรุนแรงจากครูเท่านั้น หากยังรวมถึงความรุนแรงระหว่างนักเรียนด้วยกัน ปัจจุบันเยาวชนที่ถูกทำร้ายในโรงเรียนระดมประถมศึกษามีถึงร้อยละ ๓๐ ส่วนในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษามีร้อยละ ๑๐[6] คลิปวีดีโอที่นักเรียนตบตีกันจนเป็นข่าวนั้นถือได้ว่าเป็นยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้นเอง นอกจากนั้นโรงเรียนยังเป็นสถานที่ที่นักเรียนจำนวนหนึ่งใช้ในการล่อลวงเพื่อนนักเรียนด้วยกันเพื่อประโยชน์ในทางเพศ มิพักต้องพูดถึงการรวมกลุ่มเพื่อการมั่วสุมทางเพศ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทุกวันนี้พื้นที่เสี่ยงได้รุกเข้าไปในโรงเรียนแล้ว ทำให้นักเรียนจำนวนไม่น้อยกลายเป็นเหยื่อ โดยที่ครูแทบจะไม่สามารถปกป้องได้ ในทางตรงข้ามอาจมีส่วนร่วมด้วยซ้ำ
[1] มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว และศูนย์ประชามติ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยรามคำแหง ๒๕๔๖ อ้างในเด็กไทยในมิติวัฒนธรรม น.๒๔
[2] โครงการติดตามสภาวการณ์เด็กและเยาวชนรายจังหวัด สถาบันรามจิตติ ๒๕๔๘
[3] โครงการติดตามสภาวการณ์เด็กและเยาวชนรายจังหวัด สถาบันรามจิตติ ๒๕๔๘
[4] โครงการติดตามสภาวการณ์เด็กและเยาวชนรายจังหวัด สถาบันรามจิตติ ๒๕๔๘
[5] สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๒๕๔๙
[6] โครงการติดตามสภาวการณ์เด็กและเยาวชนรายจังหวัด สถาบันรามจิตติ ๒๕๔๘