Skip to main content

หัวอกคนโสด

คอลัมน์/ชุมชน

ขอใครสักคน โดย ลีโอ พุฒ


 


อยากจะมีใคร


คอยห่วงใยดูแลกัน


ในวันที่ฉันเหงาใจ


อยากจะมีใคร


ที่จับมือกันเดินไป


ในคืนที่ฟ้ามืดมน


 


แต่มันเหมือนทั้งโลกว่างเปล่า


ไม่มีคนเข้าใจ


เหมือนไม่เคยเจอใครซักคน


 


อาจจะเคยมี คนที่เคยมองตากัน


แต่ก็ไม่เคยซึ้งใจ


อาจจะเคยมี คนที่เดินเคียงกันไป


แต่ก็ดูเหมือนไม่มี


 


ก็ชีวิตฉันยังว่างเปล่า


ไม่มีคนเข้าใจ


ฉันต้องการแค่ใครสักคน


 


ใครสักคนที่เป็นทุกอย่าง


ให้ความหวัง และคอยห่วงใยทุกวัน


ใครที่คอยจะอยู่เคียงข้างกัน


ที่จะพร้อม ให้ความผูกพันจริงใจ


 


ใครสักคนที่เป็นคนพิเศษ


ช่วยให้เหงาที่มีได้จางหายไป


ช่วยเป็นแสง สว่างในหัวใจ


อยากจะขอแค่ใครสักคน ที่รักจริง


 


(สามารถฟังเพลงนี้ได้ที่  http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=blueberrycpie&group=3&month=01-2005&date=19)


 


ขอเปิดบทความนี้ด้วยเนื้อเพลงหวานๆ แต่ออกหงอยๆ เพราะไม่นานมานี้มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงในสังคมไทย เรียกว่าเดินไปทางไหน ชาวบ้านจะต้องยกมือไหว้ หรือไม่งั้นก็ทักกันเกรียวกราว ได้มาเกริ่นกับผู้เขียนไม่นานมานี้ว่า "อาจารย์ช่วยหาแฟนให้พี่หน่อยสิจ๊ะ พี่อยากได้ที่ดีๆ"  


 


ผู้เขียนมีความนับถือท่านผู้นี้มากและรู้สึกว่าได้รับความไว้วางใจที่ได้รับการเปิดเผยจากผู้ใหญ่ท่านนี้ และรับปากว่าจะพยายามหาให้ท่าน แต่ก็บอกไปว่า "อย่างของคุณพี่นี่ ต้องหาที่ดีมากๆ ไม่งั้นไม่สมศักดิ์ศรี ดังนั้นจะพยายามแล้วกันนะครับ"


 


เหตุที่ท่านนี้เอ่ยเรื่องนี้เป็นเพราะเมื่อปีที่แล้ว ช่วงเดือนกรกฎาคม มีหนุ่มน้อยหน้ามนคนหนึ่งมาติดพันกับผู้เขียน แล้วบังเอิญได้ไปพบกับท่านผู้ใหญ่นี้พอดี และเห็นว่าผู้เขียนมีคนรู้จักมาก ไม่ว่าจะเป็นรักเพศเดียวกัน หรือรักต่างเพศ หรือรักหลากเพศ จึงฝากให้ผู้เขียนหา "ใครสักคน" ให้ ผู้เขียนเชื่อว่าไม่ว่าใครก็อยากมีใครสักคนทั้งนั้น เพราะโลกนี้สร้างมนุษย์ขึ้นมาให้มีความต้องการ "เพื่อนใจ" นอกจากคนนั้นจะผิดปกติทางอารมณ์และ "ความสัมพันธ์"


 


ผู้เขียนชอบเพลงนี้ของ "ลีโอ" มาตั้งแต่เพลงนี้ออกใหม่ๆ เมื่อปี 2540 หนูลีโอ ยังใสๆ หน้าตาน่ารัก ตอนนั้น ผู้เขียนเพิ่งจบปริญญาเอกกลับมาเป็นอาจารย์พิเศษที่ธรรมศาสตร์  มีฉากตลกแทรกในห้องเรียน ว่า "แหม ถ้าลีโอ พุฒ มาร้องเพลงนี้ให้ครู  ครูจะไปเป็นคนพิเศษให้เลย"  เล่นเอาทั้งห้องหัวเราะกันครืน  ตอนนั้นผู้เขียนเฮฮามากขนาดอยากจะเลียนแบบ "ปุ๊กกี้" ในเพลง "ชาลาล่า" เป็นรีวิวประกอบการเล็คเช่อร์  แต่สังขารไม่อำนวย หมดวัยกระดี๊กระด๊า  แต่กระนั้นก็ยังเป็นที่เฮฮาของผู้เรียน ในวันนี้ยังนึกถึงลูกศิษย์รุ่นนี้ที่ใจกว้างพอที่จะรับความซ่าของผู้เขียนได้


 


หัวอกคนโสด เป็นเรื่องที่คนในกระแสหลักมักมองข้าม สังคมกระแสหลักมักให้ความสำคัญกับครอบครัวที่มีพ่อแม่และลูก หรืออย่างน้อยคนที่มีคู่ ไม่มีลูกก็ไม่เป็นอะไร  ยิ่งผู้หญิงนั้นถ้าเป็นโสดยิ่งเป็นเป้าโจมตีได้ง่าย บ้างก็บอกว่าผู้หญิงเป็นฝ่ายเรื่องมากจึงหา "ผัว" ไม่ได้  อย่างไรก็ตาม บทความนี้ไม่ได้มองเรื่องนี้ แต่มองว่าสังคมกระแสหลักไม่ได้สนใจคนโสดแต่อย่างใดเลยต่างหาก


 


เรื่องแรกคือ เรื่องภาษีและค่าสาธารณูปโภค คนโสดที่รับจ้างได้เงินเดือนประจำ จะไม่มีโอกาสได้รับลดหย่อนภาษีอะไรมากมายนัก บางคนอาจบอกว่าไม่มีภาระอะไร ก็เสียได้เต็มที่ การพูดแบบนี้เป็นการบอกถึงความตื้น เพราะว่าคนโสดนั้นมักแยกตัวออกมาอยู่เองสมัยนี้ และมีหลายจ่ายมากกว่าที่คิด เพราะการอยู่บ้านหนึ่งคนกับสองคน ค่าน้ำค่าไฟไม่ใช่คูณสอง คือ หากอยู่คนเดียวค่าน้ำอาจอยู่ที่ 100 บาทต่อเดือน แต่อยู่สองคนไม่ใช่อยู่ที่ 200 บาท แต่อาจเป็นแค่ 140 บาท เพราะค่าน้ำนั้นมีค่าบำรุงโน่นนี่ประจำเดือนอยู่แล้วที่เกือบ100บาท เป็นค่าน้ำจริงๆ ไม่ถึง 30บาทหากอยู่คนเดียว การอยู่สองคนอาจช่วยประหยัดเพราะเสียค่าน้ำรวม ทำให้ค่าน้ำเฉลี่ยต่อหัวไม่ถึง 70 บาท


 


ส่วนค่าไฟก็เช่นกัน เพราะไงๆ ก็เปิดไฟไม่มากกว่าเดิมอยู่แล้ว ดีไม่ดีอาจเปิดน้อยกว่าเดิม เพราะต้องนอนเร็วขึ้นเพื่อ "เติมความรักให้กัน" ก่อนนอน เป็นการประหยัดค่าไฟไปอีก คนโสดอาจหง่าวคนเดียว เปิดไฟมากขึ้นเพราะเหงาและเปลี่ยวดาย นั่งๆ นอนๆ หลับยาก ดังนั้น คนโสดจึงเสียเปรียบที่ค่าใช้จ่ายต่อหัวมากขึ้น และเหงาหัวใจอีกต่างหาก


                                                                                              


เรื่องที่สองคือ การทำธุรกรรมบางประเภท เช่น ขอเงินกู้ สินเชื่อบางประเภทที่ให้ความพิเศษกับการมีคู่สมรส คนโสดไม่เป็นที่ต้องการเพราะกลัวว่าถ้าตายไป หรือมีอันเป็นไป จะหาคนมาร่วมรับผิดชอบต่อได้ยาก โอกาสเสี่ยงหนี้สูญต่างๆ เหมือนจะมีมากกว่า คนโสดจึงได้รับเลือกประพฤติปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรม


 


เรื่องที่สาม ชีวิตส่วนตัว อย่างในเพลงที่เกริ่นข้างต้น มันเหงา มันอ้างว้าง แม้จะมีเพื่อนมากก็ตาม แต่พอแก่ลงไป เพื่อนฝูงก็มีครอบครัวและทิ้งเพื่อนคนโสด หรือถ้าแก่ๆก็ไม่มีลูกหลานมากวนตัวให้หายเหงา อันนี้หลายคนบอกว่าเป็นประโยชน์มากกว่าโทษ ผู้เขียนขอบอกว่าไม่จริง เป็นโทษมากกว่าที่ไม่มีใครมาสร้างปัญหา เพราะมนุษย์ต้องมีการปฏิสัมพันธ์ การอยู่คนเดียวนั้นทำให้บั่นทอนสุขภาพจิต มีวิจัยมากมายบอกว่าคนโสดนั้นมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าคนไม่โสด อันนี้ก็แสดงว่าคนโสดนั้นมีปัญหาเรื่องนี้จริงๆ ปัญหาไม่ใช่จากคนโสดเอง แต่มาจากสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่ทอดทิ้งคนโสดต่างหาก


 


เรื่องที่สี่ คนโสดมักโดนรังแกหรือถูกกีดกันในทางสังคมอื่นๆ เรื่องประจำที่ผู้เขียนพบประจำคือ "อันนี้ คนโสดทำดีกว่า พี่มีครอบครัวต้องดูแล" สมัยก่อนผู้เขียนจะไม่ค่อยรู้สึกมาก แต่เดี๋ยวนี้จะพูดเลยว่า "อันนี้ไม่เกี่ยวกับโสดไม่โสด เพราะการมีครอบครัวหรือโสด ไม่ได้อยู่ใน จ๊อบ เดสคริปต์ชั่น" พูดง่ายๆ ว่าอะไรเป็นขยะนี่มาเลย มาถึงคนโสดทันที ส่วนอะไรที่เป็นผลประโยชน์จะโดนบอกเลยว่า "ครอบครัวต้องดูแล อันนี้ขอเถอะนะ เป็นรายได้พิเศษให้ครอบครัว" เป็นโสดนี่โดนหมด โดนเอาเปรียบนั่นเอง


 


การมีปัญหาแบบนี้เป็นปัญหาระดับโครงสร้างที่เกิดขึ้นแล้วทุกคนยอมรับและไม่โวยวาย ไม่คิดจะโวยวาย เซ็งที่สุด ถามจริงๆเถอะ ไอ้พวกที่มีลูกนี่ ไม่มีใครไปบอกให้มี  ตอน "ทำรักกัน" ไม่มีใครไปมันส์ด้วย ทำไมตอนนี้มาบอกว่าเป็นภาระที่ต้องให้ชาวบ้านมารับผิดชอบ สังคมเองก็บ้าเสียเหลือเกินกับ reproduction แบบนี้ หรือการใช้ชีวิตคู่แบบนี้ ทีคู่แบบเพศเดียวกันนี่ ไม่ได้อะไรเลย โลกนี้นี่ เป็นโลกของคนมีคู่ และต้องเป็นรักต่างเพศเท่านั้น ว่าแล้วเกย์หรือเลสเบี้ยนก็ยิ่งเสียเปรียบซ้ำซ้อนอีก


 


ดังนั้น หลายหนที่มีคนมาพูดบอกว่า "ครอบครัวอบอุ่น"  จึงมักมองข้ามคนโสด มองข้ามคนที่ไม่ตรงกับกรอบที่กำหนด โดนถีบกระเด็นออกมาจากระบบ น่าแปลกที่คนในสังคมนี้ หรือแม้แต่ในสหรัฐฯ เองก็ตามไม่ให้ความสนใจแต่อย่างใด ไม่เคยคิดในความสำคัญของคนโสด และไม่ให้ความสำคัญของรูปแบบ "ครอบครัว" ที่ไม่ตรงกับกรอบเดิมๆ (ตอนนี้หัวหน้าพรรคการเมืองคนหนึ่ง ยังออกมาพูดอีกว่าเค้ามีครอบครัวแล้ว เป็นครอบครัวแสนสุข กว่า 14 ปี—นี่จะกระหน่ำกันไปถึงไหน)


 


ผู้เขียนเป็นคนโสดที่มีคนมาติดพันบ้าง แต่ก็มีปัญหาที่มองเรื่องความสัมพันธ์ต่างจากชาวบ้านในกระแสหลัก การเป็นคนโสดของผู้เขียนจึงเป็นแบบ "สมัครใจ" ไม่ใช่ "จำยอม" ยากเหลือเกินที่จะหาคนที่ไปกันได้ หลายครั้งที่ผู้เขียนบอกกับตนเองว่า "ลองหัดโง่เสียบ้าง" จะได้มีแฟน แต่คงเป็นเพราะว่าฟ้าลิขิต จึงยังตกล่องปล่องชิ้นกับใครไม่ได้เสียที ดีที่ว่าเป็นผู้ชายเลยไม่ค่อยโดนสังคมทำร้าย ไม่มีใครเรียก "หนุ่มแก่" ให้ช้ำใจเล่น (แต่ไม่แน่อาจมีคนเรียก "อีตุ๊ดแก่" ลับหลังก็เป็นได้)


 


การเป็นคนโสดไม่ใช่ปัญหา แต่สังคมนั่นแหละสร้างปัญหาให้คนโสด ตราบใดที่สังคมชอบกล่าวหาและตีตราให้คนโสด นอกจากนี้สังคมต้องมีการเปิดใจให้กว้างในหลายๆเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์ จนวันนี้นึกชอบใจไม่หายกับนิยามและคำอธิบาย "ความรัก" ของอาจารย์จอน ในขณะเดียวกันขอบอกว่าความรักแบบที่เห็นๆ กันในหนัง แบบ "วิคตอเรียน" คนบ้ากันไปหมด เป็นเรื่องเพ้อฝันทั้งนั้น ฝันจนคิดว่าไม่ใช่ฝัน แต่เป็นความจริงกันไปหมด ดังนั้น กรอบของอาจารย์จอนต่างหากคือสิ่งที่ถูกต้องมากกว่า


 


เอาเป็นว่า ตอนนี้ใครที่เป็นคนโสดก็อย่ายอมให้ใครมาเอาเปรียบ มาทำร้าย  เพราะถ้ายังยอมต่อไป ปัญหาก็เป็นไปแบบนี้เรื่อยๆ จริงๆนะ !!