"ขาว"
คอลัมน์/ชุมชน
เช้าตรู่วันนั้น หลังจากย่ำเท้าผ่านความว่างเปล่าของห้องแถวบริเวณหัวมุมถนนพระอาทิตย์ ผ่านหน้าวัดบวรนิเวศ ผ่านธนาคารกรุงเทพ สาขาผ่านฟ้า
ในที่สุด ผมก็หยุดฝีเท้าลงที่บริเวณกลางซอยวัดปรินายก
เสียงกรุ๋งกริ๋งดังขึ้นพร้อมกับเสียงเห่าเป็นจังหวะ ของเจ้าเพื่อนใหม่ 4 ขา
"เอ้า นึกว่าใคร วันนี้มาแต่เช้า" ลุงยามที่เฝ้าสำนักงานทัก
"โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง" มันเดินมาดม ก่อนจะสะบัดก้นเดินกลับไปนอนในที่ประจำ แล้วลงมือไอโขลกๆ อย่างไม่ยั้งก่อนจะฟุบหลับไป
เหมือนกับทุกวัน นี่คือการสแกนบุคคลของเจ้า "ขาว" ก่อนเข้าสำนักงาน หากมีกลิ่นผิดปกติติดตัวมาด้วย
1
"โน่นลอยมาตามคลอง" พี่แดง สารถีประจำสำนักงานเริ่มต้นเล่า เมื่อถูกถามความเป็นมาของ "ขาว" บอดี้การ์ดสี่ขาประจำสำนักงาน
แกชี้มือไปที่คลองโอ่งอ่าง ซึ่งขณะนั้นสายน้ำเป็นสีขุ่นคลั่กเพราะฝนและน้ำทิ้งจากบ้านเรือนไหลทะลักลงไปในคลอง
"อุ้มขึ้นตรงนี้แหละ ช่วงฝนตกหนัก" แกอธิบายพร้อมกับออกแอ็คชั่น
"ตัวเท่าฝ่ามือเอง"
จากคำให้การของคนในสำนักงานหลายคน ผมประติดประต่อประวัติของมันออกมาได้ว่า เริ่มต้นครอบครองพื้นที่และทำตัวเป็นเจ้าพ่อซอยวัดปรินายกมาได้ราวๆ 11 ปีแล้ว โดยอาศัยข้าวแดงแกงร้อนและที่อยู่อาศัยบริเวณหน้าสำนักงานที่กินอาณาบริเวณประมาณ 3 คูหา
สำนักงานแห่งนี้ ไม่เคยบอกรับเลี้ยงมันในทางนิตินัย แต่ในทางพฤตินัย คงไม่เกินไปที่จะกล่าวว่า มันเป็นสมาชิกตัว (คน) หนึ่งในองค์กรซึ่งทำมาหากินด้วยการทำหนังสือมาเป็นเวลาร่วม 22 ปีแล้ว ในขณะที่ตัวมันเองมีอายุอยู่ราวครึ่งหนึ่งของสำนักงานแห่งนี้ (11 ปี)
"กลางวันนอน กลางคืนวิ่งไม่หยุด ดมนู่นดมนี่ไปหมด ช่วงกลางคืนถ้ามีคนแปลกมาหน้าป้วนเปี้ยน มันจะเห่าตลอด ลุงทำงานที่นี่ก็ได้มันช่วยเยอะ เสียอย่างเดียว คนที่มารับหรือติดต่องานโดนงับไปหลายราย เราก็ต้องจ่ายทุกที จน 2-3 ปีมานี้หลังเขี้ยวมันหัก เลยได้แต่ขู่ เราก็เบาลง" ลุงยามเล่า
2
หากย้อนเวลากลับไปในสมัยที่มันยังมีเขี้ยวเล็บ ขาวก็เหมือนกับสุนัขหนุ่มริมถนนทั่วไป มันตอบแทนข้าวแดงแกงร้อนของเจ้านายหลายคนที่ให้บ้างไม่ให้บ้างด้วยการทำหน้าที่เฝ้าสำนักงานให้โดยไม่ลังเล ด้วยการส่งเสียงเห่าระวังภัยช่วงเช้า-เย็น
บางครั้งก็กลายเป็นนายแบบ "บังคับเชิญ" ลงในหนังสือยามที่ช่างภาพในสำนักงานสิ้นไร้วัตถุดิบหรือคิดสะระตะแล้วว่า ขาวเป็นนายแบบ (หมาๆ) อันเหมาะแก่การนำไปประกอบคอลัมน์ต่างๆ และเป็นนายแบบที่หล่อที่สุดในโลก
"2 ปีก่อนหน้านี้ ขาวมีแฟนชื่อเบี้ยว สีขาวเหมือนกันแต่ออกนวลกว่า ที่ชื่อเบี้ยวเพราะปากมันโดนรถทับ ก่อนหน้าเป็นแบบนั้นมันคงไปนอนใต้รถใครสักคน" พี่หนู พี่สาวอีกคนหนึ่งที่คอยป้อนข้าวป้อนน้ำให้เจ้าขาวเป็นประจำเอ่ยในตอนเช้าวันหนึ่งซึ่งเธอมองมันกินข้าวกับตับย่างอย่างเอร็ดอร่อย
เช้าวันที่เจอพี่หนูก็เหมือนกับเช้าวันปรกติของ 11 ปีที่ผันผ่าน
คือเป็นเช้าที่ขาวผ่านการเฝ้าสำนักงานมาทั้งคืน ลุงยามเล่าว่า ช่วงตี 4 มันตัดสินใจกลับมางีบหลังโต๊ะ ก่อนที่ลุกขึ้นอีกครั้งตอน 8 โมงเช้าเพื่อรอคนในสำนักงานนำข้าวคลุกตับมาให้มันกิน
* * * *
ตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ ที่ประจำของขาวคือที่มุมขวาของประตู ส่วนเบี้ยวจะไปนอนอยู่ทางมุมซ้าย ทั้งสองตัวจะช่วยแสกนคนเข้าออกแบบละเอียดยิบตามวิสัยสุนัข
สำหรับขาว ถ้ากลิ่นใช่ - กระดิกหาง เห่ารับ บริการรับส่งถึงที่จอดรถ ถ้าไม่ใช่ - งับ
สำหรับเบี้ยว ถ้ากลิ่นใช่- นอนนิ่ง ไม่ส่งสัญญาณ แต่ถ้าแปลกหน้า-งับโดยไม่มีการเตือน
คนในสำนักงานแห่งนี้ส่วนใหญ่จึงโดนเจ้าขาวและเบี้ยวแสกนกลิ่นไปบันทึกไว้ในความทรงจำจนหมด ซึ่งแน่นอนว่า ยังรวมไปถึงการฝากรอยปัสสาวะอันเป็นเสมือนบัตรผ่านไว้ให้ที่ล้อรถ ไม่ว่าเจ้าของรถจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
ต่างก็แต่ปัจจุบัน ที่มุมซ้ายของประตู ไม่มีเจ้าเบี้ยวอีกแล้ว
"เบี้ยวตายเมื่อไม่นานมานี้เอง ประมาณปี 2547 หลังออกลูกมาหลายครอก" จักรพันธ์ กังวาฬ พ่อบุญธรรมอีกคนของเจ้าขาวเล่าให้ฟังในขณะที่เขาออกมานั่งทอดอารมณ์กับ "เพื่อนสนิทสี่ขา" ที่กลายเป็นพ่อม่ายไปเรียบร้อยโรงเรียนสุนัขแล้ว
เขาเล่าต่อว่าแม้อาหารที่คนในสำนักงานให้จะไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็มากพอที่จะทำให้เจ้าขาวอ้วนพีและอุดมสมบูรณ์พอที่จะทำให้มันกับเจ้าเบี้ยวมีแรงผลิตลูกออกมาหลายครอก
"เจ้าเบี้ยวลูกดกมาก หัวปีท้ายปีเลย แล้วลูกมันก็สวยมากด้วย เป็นสีขาวซะเยอะ ตอนเจ้าเบี้ยวคลอดลูกครอกสุดท้ายมันโทรมไปเลย เหมือนกับว่าเต็มที่ของมันแล้ว" พี่หนูเล่า
"สุดท้ายก็มีคนเอาไปหมด ไม่เหลือเลย"
จากการ (แอบ) สืบค้น ลูกของเจ้าขาวไม่ได้ไปไหนไกล บางตัวก็เติบโตอยู่ในซอย แต่บางตัวก็ตกไปอยู่ในครอบครองของคนในออฟฟิศ โดยเฉพาะ บ.ก.วันชัย ที่รับไปอุปการะที่บ้านถึงสองตัว
3
11 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก อาการป่วยไข้เริ่มถามหาเจ้าตูบทั้งสองตัว เพราะถึงอย่างไร มันก็ได้ชื่อว่าเป็นสุนัขข้างถนนที่ในทางวิชาการ สัตว์แพทย์สรุปว่ามีโรคมากมายแฝงอยู่ในตัวโดยโรคยอดฮิตของสุนัขจรจัดทุกตัวคือ พยาธิหนอนหัวใจ อันเนื่องมาจากการถูกยุงกัด
"เคยป่วยหนักๆ มาแล้วทั้งคู่ ครั้งล่าสุดที่เจ้าเบี้ยวตาย ตอนนั้นพี่เอามันไปหาหมอ ได้ยาแล้วพามันกลับมา พอกลับมาถึงสำนักงานมันก็นอนหลับตายอยู่ตรงหน้าตึกเลย ไปแบบเงียบๆ เสร็จแล้วก็เอาไปเผาที่วัดซึ่งมีพระสวดให้เสร็จสรรพ ก่อนจะเอากระดูกมันไปลอยที่แม่น้ำ" จักรพันธ์ เล่าให้ฟัง
"ส่วนเจ้าขาวนี่มีอยู่ทีหนึ่งโดนแทงบัญชีว่าตายแน่นอน ตอนนั้นมันนอนหมดแรง หมอบอกว่าไม่น่าจะรอด ก็ได้แต่ให้ยามัน แต่มันก็รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ถือว่าอึดพอสมควร"
เล่าจบ เขามอง "เพื่อนเก่า" แล้วขำ - - คนที่นี่ทราบดีว่าจักรพันธ์คือคนที่คอยดูแลขาวเวลามันป่วยหนักๆ โดยรับหน้าที่พาไปหาสัตว์แพทย์ ซึ่งแน่นอนว่าหมดไปหลายสตางค์หากพูดถึงค่ารักษา
3
มกราคม 2549 .
"โขลกๆๆๆ" ถ้าไม่ฟังให้ดีก็อาจนึกว่านี่เป็นเสียงของมนุษย์ แต่ถ้าหันไปดูก็จะพบว่ามันเป็นเสียงกระแอมไอของสุนัขที่แก่ชราแต่ยังมีท่าทางแข็งแรง
"มันเป็นแบบนี้มานานแล้ว นี่ยังดี ช่วงก่อนหน้านี้มันไอยิ่งกว่านี้อีก" ลุงยามพูดขึงขัง
คงเป็นธรรมดาของมนุษย์ ที่ผูกพันกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว ก็มักจะอินกับสิ่งนั้นมาก ยิ่งไม่ใช่สิ่งของหากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตอย่างสุนัขซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนต่างสายพันธุ์ที่ดีที่สุด ก็แทบไม่ต้องพูดเลยว่า ความผูกพันระหว่างกันจะมีมากมายแค่ไหน
สำหรับผม เรื่องราวของเจ้าขาว เป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวัน หากแต่เป็นสิ่งธรรมดาที่คนกลุ่มเล็กๆ รู้สึกว่า เป็นความธรรมดาที่ไม่อยากให้หายไป