ข่าวนางงามแปลงเพศและคนเบี่ยงเบนของดร.วัลลภ
คอลัมน์/ชุมชน
ข่าวที่เป็นที่ฮือฮาเมื่อต้นเดือนสิงหาคมเรื่องหนึ่งก็คือ การเปิดเผยของอดีตรองนางสาวไทยคุณภัชธีรา กลิ่นสนิท ว่าเธอได้แปลงเพศจากหญิงเป็นชายแล้ว ซึ่งจริง ๆ เธอแปลงเพศมาหลายปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอออกมาเปิดเผยต่อสาธารณชน
ฉันอ่านข่าวนี้จากทางเว็บไซต์ และหนังสือพิมพ์ บางทีต้องกลั้นใจค่ะ เพราะมีการเสนอข่าวและแสดงความคิดเห็นที่ฟังดูแล้วอาจก่อให้เกิดความไม่เข้าใจคนรักเพศเดียวกันมากขึ้น ยิ่งเป็นเรื่องของการแปลงเพศที่น้อยคนจะมีประสบการณ์ตรง ทำให้ยากจะเข้าใจมากขึ้น แต่บางทีฉันก็ถอนหายใจได้อย่างโล่งอก เพราะบางความคิดเห็นก็เป็นไปในแง่บวก ให้ความเข้าใจ และมีความเคารพในการกระทำของคุณภัชธีราและผู้ที่แปลงเพศคนอื่น ๆ ได้อย่างดี
ลองมาดูเรื่องที่ทำให้ฉันต้องกลั้นใจและโล่งใจนะคะ
ข่าวแรกจากบางกอกทูเดย์* ซึ่งขึ้นต้นการรายงานข่าวว่า
"สำหรับสาวหล่อหรือทอมนั้น ในปัจจุบันพบว่ามีการให้ความสำคัญกับรูปร่างที่เหมือนผู้ชายมากขึ้น ทำให้เกิดกระแส เฉือนนม-ต่อจู๋ กันอย่างโจ่งครึ่ม ไม่เว้นแต่ในแวดวงนางงาม โดยล่าสุดมีกระแสข่าวว่า น.ส. ภัชธีรา กลิ่นสนิท หรือน้องจิลล์ รองนางสาวไทยอันดับ 3 ปี 2533 เป็นอีกผู้หนึ่งที่เปลี่ยนรสนิยมทางเพศมาเป็นสาวหล่อ อีกทั้งยังตัดสินใจพึ่งมีดหมอเฉือนหน้าอกทิ้ง และต่ออวัยวะเพศชาย เพื่อแสดงความเป็น แมน อย่างเต็มตัว โดยไม่สนใจว่าจะมีผลร้ายตามมาหรือไม่ อย่างไร"
ค่ะ อ่านแล้วฉันก็เพิ่งจะได้ทราบว่า ในขณะนี้วงการทอมเกิดกระแส "เฉือนนม-ต่อจู๋" กันแล้ว และทำกันอย่าง "โจ่งครึ่ม" ด้วย ไม่เคยทราบมาก่อนเลยจริง ๆ ฉันเคยพยายามถามหาคนที่แปลงเพศจากหญิงเป็นชาย ก็มักได้รับคำตอบว่า มีน้อยมาก หรือเมื่อแปลงเพศแล้วก็มักจะไม่เปิดเผยให้ใครรู้ เพื่อนคนหนึ่งเคยคิดจะทำวิทยานิพนธ์เรื่องการแปลงเพศจากหญิงเป็นชาย ก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจ เพราะหาตัวผู้จะมาให้ข้อมูลยากเหลือเกิน เพื่อนทอม ๆ ที่ฉันรู้จัก ก็มักจะไม่กล้าแปลงเพศ เพราะกลัวการผ่าตัดและคิดว่าเสี่ยง และมีอีกหลายคนที่ไม่ได้อยากแปลงเพศค่ะ
สงสัยฉันจะตกกระแส "เฉือนนม-ต่อจู๋" ไปเสียแล้ว
เข้าใจได้ค่ะว่า การเขียนข่าวเช่นนี้ดึงดูดใจผู้อ่านได้มากกว่าจะมาเขียนว่า "หาทอมที่แปลงเพศเป็นชายได้น้อยเหลือเกินในประเทศไทย ที่มีก็อยากอยู่เงียบ ๆ ไม่อยากเปิดเผยตัวเอง" แต่ถ้าเขียนข่าวอย่างกระแสเฉือนนม-ต่อจู๋ไปแล้ว ผลที่เกิดกับทอมล่ะคะ จะเป็นอย่างไร ถ้าคน ๆ หนึ่งไม่รู้จักทอมจริง ๆ อ่านข่าวนี้เข้าไป คงคิดว่าพวกทอมนี้บ้าแน่ๆ ตัด-ต่ออวัยวะร่างกายกันอย่างไม่รู้คิด ทำแล้วยังต้องให้โจ่งครึ่มอีก น่าเกลียดเสียจริง คนที่เกลียดทอมอยู่แล้ว คงมีความเกลียดเพิ่มอีกทวีคูณ พ่อแม่ผู้ปกครองที่รักบุตรหลานอาจจะเริ่มกลัวทอม ห้ามลูกเป็นทอม ห้ามทอมมาหาลูก ห้ามลูกไปหาทอม ฯลฯ
อ่านแค่ขึ้นต้นก็ได้เพิ่มพูนอคติต่อทอมไปเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ แต่น่าสนใจว่าหลังจากนั้น ข่าวลงคำสัมภาษณ์ของคุณวิศเวศ วัฒนสุข เจ้าของรางวัลแฟนพันธุ์แท้นางงาม แม้คุณวิศเวศจะบอกว่าเสียดายในความสวยของคุณจิลล์ แต่ "ผมก็เคารพในการตัดสินใจของคุณจิลล์" คุณวิศเวศยังบอกอีกว่า ความรู้สึกกับเรื่องทอมประกวดนางงามคือ "ผมเฉย ๆ เพราะถือว่าเป็นรสนิยมส่วนตัว" เขาให้ความเห็นว่า เป็นทอมก็มาประกวดได้ ไม่ได้ผิดกฎเกณฑ์การประกวดนางงาม "เขาไม่ผิดที่เกิดมาเป็นทอมหรือเลสเบี้ยน" อ่านแล้วค่อยถอนหายใจได้อย่างโล่งอกหน่อย หวังว่าพ่อแม่ผู้ปกครองที่รักบุตรหลานคงจะค่อยคลายความกลัวทอมได้อีกนิด
ลองมาดูอีกความคิดเห็นหนึ่งนะคะ ในกระดานสนทนาของเว็บ sapaan.org คุณ Papillion เขียนความคิดเห็นต่อประเด็นการแปลงเพศของคุณภัชธีรา ดังนี้ค่ะ
"อืม.... มันเป็นความรู้สึกแบบ ฉันทนอยู่ในสภาพร่างกายแบบนี้ไม่ได้แล้ว ฉันต้องทำอะไรซักอย่างน่ะค่ะ จึงเป็นแรงผลักดันให้เปลี่ยนแปลงตัวเองให้หลุดพ้นไปจากร่างกายเพศกำเนิด ไปสู่ร่างกายที่มีเพศตรงกับจิตใจของตน ความรู้สึกแบบนี้... คนที่เกิดมามีเพศใจกับเพศกายไม่ตรงกันจะรู้สึกค่ะ
ป.ล. F2M (female to male) ทำยากกว่า M2F (male to female) ต้องเจ็บตัวมากกว่า ไหนจะเอานมออก ไหนจะเอามดลูกออก ไหนจะต้องโดนเลาะผิวหนังจากบริเวณอื่นมาม้วน ทำอวัยวะใหม่ คนที่จะไปทำอันนี้ เขาต้องสุดๆ แล้วจริงๆ ค่ะ"
ให้ความรู้สึกต่างจากข่าวกระแสเฉือนนม-ต่อจู๋มากเลยนะคะ ข้อความอย่างนี้คงทำให้คนอ่านเข้าใจจิตใจของคนที่ต้องการแปลงเพศมากขึ้น เข้าใจว่าเพราะอะไรจึงต้องการแปลงเพศและการจะทำได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ คงพอจะเห็นได้ว่าทอมที่แปลงเพศไม่ใช่คนไร้หัวคิด การผ่าตัดที่ต้องเจ็บตัวเช่นนี้ มันต้องผ่านการคิดมามาก มากมากเลยล่ะค่ะ คงไม่ใช่ทำเพราะต้องการตามกระแสแน่นอน
กลับมาด้านที่ต้องกลั้นใจอ่านอีกครั้งนะคะ มาจากสกู๊ปหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 7 สิงหาคม 2549 ค่ะ สกู๊ปจ่าหัวว่า " นางงาม เป็น ทอม ค้นพบตัวเอง หญิง-ชายก็ไม่แตกต่าง" ตอนแรกฉันเห็นหัวเรื่องแล้วรู้สึกค่อนข้างดีค่ะ ดูเป็นแง่บวกมาก แต่ก็ยังไม่ค่อยไว้ใจเดลินิวส์เท่าไรนัก ยังต้องอ่านต่อไปด้วยความระมัดระวัง
"แม้ในประเทศไทยเราจะให้การยอมรับกรณี หญิงรักหญิง กันมากขึ้นแล้วในยุคปัจจุบัน และคนกลุ่มนี้ก็เปิดเผยตัวกันได้มากขึ้น โดยสังคมไม่ได้ตั้งแง่" เกือบจะไว้ใจเดลินิวส์เลยค่ะ แหมใช้คำว่า "หญิงรักหญิง" ที่อัญจารีเป็นคนบัญญัติเสียด้วย
แต่ความไว้ใจก็ต้องสูญสลายค่ะ เพราะข้อความถัดมาคือ "แต่กรณีมีหญิงสาวที่เป็นถึงอดีตนางงามรายหนึ่ง... วันหนึ่งกลับกลายเป็นทอม ถึงขั้น ตัดนมทิ้ง ก็เป็นเรื่องฮา ๆ พอสมควร" อ่านแล้วต้องอ่านซ้ำค่ะ ว่าเขาเขียนว่า "ฮือฮา" หรือ "ฮา ๆ" อ่านสิบรอบก็ออกมาเป็น "ฮา ๆ" ค่ะ การเขียนข่าวเช่นนี้ไม่ทราบว่าเป็นความคิดเห็นของผู้เขียนเอง หรือผู้เขียนแค่รายงานตามสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม ฉันคิดว่า การแปลงเพศเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง และการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตไม่ว่าจะของใครก็ตาม คงไม่อยากให้คนอื่นเห็นเป็นเรื่อง "ฮา ๆ"
อ่านต่อมาก็ต้องสะดุ้งเฮือก เพราะคนที่เขาไปสัมภาษณ์ขอความคิดเห็นในเรื่องนี้คือ "นักจิตวิทยาชื่อดัง ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม" ดังมากจนทำให้ฉันสะดุ้งเลยค่ะ คนรักเพศเดียวกันหลาย ๆ คน ก็คงสะดุ้งกับชื่อของนักจิตวิทยาที่มักจะแสดงความคิดในแง่ลบต่อคนรักเพศเดียวกันคนนี้ ...เดลินิวส์ นะ เดลินิวส์...
เอาล่ะ ต้องกลั้นใจอ่านต่อค่ะ เพราะฉันพยายามจะหาข้อดีของ ดร.วัลลภ (มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ เพื่อสุขภาพจิตที่ดี จะได้ไม่ต้องไปหานักจิตวิทยา) ดร.วัลลภ บอกว่า
"ผู้หญิงที่เบี่ยงเบนรักเพศเดียวกัน พฤติกรรมทำนองนี้แยกออกเป็น 3 แบบใหญ่ ได้แก่...
1. พวกที่เป็นทอม คือพวกที่มีนิสัยเป็นผู้ชาย ชอบผู้หญิงด้วยกัน
2. พวกที่เป็น เลสเบี้ยน พวกนี้จะมีความสัมพันธ์ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่จะชอบมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงมากกว่า
3. พวกที่เป็นดี้ เป็นพวกที่ชอบผู้ชายก็ได้ ผู้หญิงก็ได้ "
แสดงว่า ดร.วัลลภ ก็รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับหญิงรักหญิงอยู่เหมือนกันค่ะว่ามีความหลากหลาย และไม่ได้ใช้คำว่า "รักร่วมเพศ" แล้วด้วยนะคะ การรณรงค์ของอัญจารีให้เปลี่ยนการใช้คำนี้มาเป็น "รักเพศเดียวกัน" คงได้ผลค่ะ ดร.วัลลภ ก็ใช้ และยังแถมคำว่า "เบี่ยงเบน" เข้าไปด้วย รวมแล้วผลที่ได้คือ "ผู้หญิงที่เบี่ยงเบนรักเพศเดียวกัน" ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือฉันเองค่ะ แต่ฉันก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าจะจัดตัวเองเข้าข้อไหนดี เพราะไม่ได้ชอบได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง และก็ไม่ได้มีนิสัยเป็นผู้ชาย คราวหน้าคงต้องเรียน ดร.วัลลภ ให้เพิ่มข้อ 4 ให้ด้วยนะคะ จัดกลุ่มเรียกเป็นพวก "หลิน" ก็ได้ค่ะ เช่น " 4. พวกที่เป็น หลิน คือ ไม่ได้ชอบได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ไม่ได้มีนิสัยเป็นผู้ชาย และไม่ชอบไปพบนักจิตวิทยา "
ต่อค่ะ มีหลายประเด็นที่ ดร.วัลลภ แสดงความคิดเห็นที่ดี เช่น "ถ้าผ่าตัดแปลงเพศออกมาแล้วรู้สึกดี รู้สึกว่าเอาส่วนที่เกินออกจากร่างกายได้ และไม่มีปัญหาอะไร ก็ดีไป" คำพูดเช่นนี้โอเคค่ะ ฉันถือว่าประเด็นนี้คุณด๊อกเตอร์ สอบผ่านมาตรฐานของฉัน ผู้หญิงที่เบี่ยงเบนรักเพศเดียวกันแล้วค่ะ
แต่สิ่งที่นักจิตวิทยาชื่อดังควรคิดใหม่คือ เรื่องสาเหตุของการ "เบี่ยงเบน" ดร.วัลลภ ให้เหตุผลว่า
"บางรายก็อาจจะเป็นพวกที่ยังรู้สึกสับสนกับตัวเองอยู่ว่า ตัวเองนั้นต้องการที่จะเป็นอะไรแน่ ? พวกกลุ่มนี้จะมาแสดงออกตอนอายุประมาณ 20 ปีขึ้น หรืออาจจะเป็นพวกที่ถูกผู้หญิงด้วยกันลวนลามทางเพศมาในช่วงสมัยเด็ก พอโตมาก็อาจจะเบี่ยงเบนมาเป็นทอมก็เป็นไปได้ เหมือนกรณีที่ผู้ชายถูกชายด้วยกันลวนลาม พอโตมาแล้วเป็น กะเทย สำหรับในความคิดเห็นของผม คิดว่าสภาพแวดล้อมที่อยู่ก็น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนมีการเบี่ยงเบนทางเพศ"
ดร.วัลลภคะ คำพูดอย่างนี้แหละค่ะ ที่สร้างปัญหาทางจิตใจให้กับคนรักเพศเดียวกัน ฉันเองไม่เชื่อทฤษฎีจิตวิทยาเช่นนี้ เพราะพื้นฐานความคิดก็คือ มีคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นธรรมชาติ และคนอีกกลุ่มผิดธรรมชาติ หลาย ๆ อย่างทฤษฎีนี้ก็อธิบายไม่ได้ เช่น แล้วคนรักเพศเดียวกันที่ไม่เคยถูกลวนลามล่ะ จะอธิบายอย่างไร แล้วคนรักต่างเพศนั้นถูกเพศตรงข้ามลวนลามหรือถึงได้โตขึ้นมารักเพศตรงข้าม ยิ่งคนที่รักได้ทั้งสองเพศอีกเล่า มิต้องเคยถูกลวนลามจากคนทั้งสองเพศเลยหรือ
ส่วนเรื่องสภาพแวดล้อมนั้นฉันยังไม่แน่ใจนักว่า ดร.วัลลภ หมายถึงอะไร ไม่ทราบว่าเป็นเพราะการเติบโตในเขตร้อนชื้นรึเปล่า หรือบ้านที่อยู่นั้นฮวงจุ้ยไม่ดี ไม่อยากเดามากค่ะ เพราะยิ่งคิดเช่นนี้ยิ่งทำให้ตัวเองรู้สึกผิดปกติ เดี๋ยวจะต้องทำการย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยหรือไปพบนักจิตวิทยา
คิดในแง่บวกดีกว่าค่ะ ดร.วัลลภ แนวคิดเรื่องการเบี่ยงเบนนั้นมีแต่จะตอกย้ำให้คนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งก็คงมีจำนวนเรือนแสนขึ้นไปในประเทศเรา รู้สึกว่าตัวเองผิดปกติอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่มีนักจิตวิทยาออกมาพูดเช่นนี้ คนกลุ่มนี้คงจะมีสุขภาพจิตดีขึ้นกว่านี้มาก ไม่ว่าจะเป็นกะเทย ทอม คุณภัชธีรา หรือเบอร์ 4 อย่างหลิน พวกเราไม่ได้เบี่ยงเบนหรอกค่ะ แต่เราเป็นกลุ่มคนที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์นั้นเปี่ยมไปด้วยความหลากหลาย
คนที่ดร.วัลลภ ควรลองหาสาเหตุและหาทางช่วยเหลือ น่าจะเป็นคนที่ไปลวนลามหรือทำร้ายร่างกายผู้อื่น ไม่ว่าจะเพศเดียวกันหรือต่างเพศ ไม่ว่าจะเป็นคนรู้จัก ไม่รู้จัก หรือเป็นสามีภรรยากัน การพยายามทำความเข้าใจและให้ความช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ จะช่วยลดความรุนแรงในสังคมได้มากเลยทีเดียว คนอีกหลาย ๆ กลุ่มจะได้อยู่อย่างสงบสุขมากขึ้น
แล้วก็ข้อสุดท้ายนะคะ กรุณาอย่าใช้คำว่า "เบี่ยงเบน" เลย ใช้ว่า "รักเพศเดียวกัน" ก็เพียงพอแล้วค่ะ หรือถ้ายังยาวไม่พอ ลองเปลี่ยนคำว่า "เบี่ยงเบน" เป็นคำอื่นที่ส่งผลดีต่อจิตใจคนดีไหมค่ะ อย่างเช่น คำว่า "เบิกบาน" รวมแล้วผลที่ได้คือ "ผู้หญิงที่เบิกบานรักเพศเดียวกัน" หรือ "คนที่เบิกบานรักเพศเดียวกัน" หรือ "เพศเบิกบาน" หรือ "ผู้หญิงที่เบิกบานแปลงเพศเป็นชาย" หรือ "ผู้ชายที่เบิกบานแปลงเพศเป็นหญิง" ฯลฯ
* ดูข่าวได้จาก http://women.sanook.com/whatson/news_26717.php#