Mom memory
คอลัมน์/ชุมชน
ชัยเนตร ชนกคุณ
บันทึกความทรงจำ
... เราเป็นแม่ลูกกันโดยสายเลือด
ตามสำเนาทะเบียนบ้าน
...เราต่างรู้ว่าอีกฝ่ายยังมีลมหายใจอยู่
แต่ ... เราไม่เคยพบหน้ากันมาเกือบ 17 ปี
ในบรรดาลิ้นชักความทรงจำของข้าพเจ้า บันทึกหน้าที่เกี่ยวข้องกับแม่ ดูเหมือนจะเป็นชุดความทรงจำที่ค่อนข้างเลือนรางมากกว่าอย่างอื่น
ภาพร่างของแม่นั้นชัดเจนที่สุดก็คงเป็นช่วงวัยอนุบาล หลังจากที่ข้าพเจ้าเข้าเรียนชั้นประถม รูปร่างของแม่ก็ค่อยๆ จางลงไปจากความทรงจำ จางลงไปเรื่อยๆ จนในบางครั้ง ในบางสถานะ คำว่า "แม่" สำหรับข้าพเจ้านั้นกลับเข้าใจหมายถึงยายผู้เลี้ยงดูตนเองนับแต่บัดนั้น จวบกระทั่งบัดนี้
เหตุใดข้าพเจ้าจึงเลือกที่จะหยิบค้นหาบันทึกอันแสนขมุกขมัวฉบับนี้มาตีแผ่เรื่องราวเกี่ยวกับความทรงจำ ก็เพราะเรื่องราวเกี่ยวกับแม่คงเป็นชีวิตที่ใครต่อใครเลือกที่จะบันทึกน้อยที่สุด เนื่องเพราะมีคนอยู่มากมายที่รายล้อมตัวเขาเอง การที่แม่เป็นคนที่ยืนอยู่เคียงข้างและแนบชิดตลอดเวลาจึงอาจมองไม่เห็นท่านก็เป็นได้ จนลืมที่จะบันทึกเรื่องราวที่สวยงามของเธอลงไป แต่สำหรับข้าพเจ้า ความโหยหาต่างหากที่เป็นเสมือนแรงบันดาลใจอันใหญ่หลวง ต่อการหยิบยื่นสิ่งนี้ออกจากความทรงจำ ภาพที่ดูเลือนราง แต่ความคิดถึงนั้นกลับเจิดจ้ากว่าสิ่งใด
17 ปีมาแล้วที่เราได้พบเจอหน้ากันเลย แต่สายสัมพันธ์เหล่านั้นก็ไม่เคยถูกตัดขาด เพียงชะตากรรมมันช่างเข้าใจเลือกแกล้งคนอย่างไม่เลือกหน้าเท่านั้นเอง
แม่ยังสาว และสวยอยู่เสมอในความทรงจำของข้าพเจ้า ข้าวผัดเป็นอาหารชนิดเดียวที่เรามักคะยั้นคะยอให้แม่ทำให้เรากินก่อนออกจากบ้านไปโรงเรียน ผัดผักกาดเป็นกับข้าวจานแรกที่แม่พยายามหัดให้เรากินผักใบเขียว ฝีมือผัดของแม่อร่อยที่สุดในโลก จนกระทั่งบัดนี้ข้าพเจ้าก็ยังชอบกินข้าวผัดและผัดผักกาดเป็นที่สุด
แม่เคยตีข้าพเจ้าอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นอีกครั้งที่น้ำตาของข้าพเจ้ามันไหลออกมาอาบแก้มอย่างหยุดไม่อยู่ ไม่ใช่เพราะความเจ็บจากกระถินริบกิ่ง แต่เป็นเพราะแม่ร้องไห้อออกมาต่างหาก แต่นั่นก็นานมาแล้ว สมัยที่บ้านหลังเก่าของเรามีคลองอยู่หลังสวน โดยที่ข้าพเจ้าแอบพาน้องไปเล่นน้ำเพียงลำพัง
ตอนนี้ข้าพเจ้าเติบโตเป็นหนุ่มเต็มตัว แต่เรื่องราวตลอดช่วงวัยเด็กที่ผ่านมายังคงอบอวลอยู่ในความทรงจำ เคยเป็นอีสุกอีใสตอน ม.2 จนต้องหยุดเรียนไปนาน เพราะอายเพื่อนๆ ที่ชอบล้อว่าโรคหนังคางคก ตะคริวกินจนเกือบจมน้ำตายตอนปิดเทอม ม.3 ครั้งนั้นจำได้ว่า หากไม่ได้หนานมี ขี้เหล้าที่กำลังตกปลาอยู่ช่วยขึ้นมา ป่านนี้คงกลายเป็นผีเฝ้าท่าน้ำไปเสียแล้ว เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ข้าพเจ้าต้องกลับบ้านไปดำหัวหนานมีทุกๆ สงกรานต์ เคยหนีเรียนครั้งแรกตอนอยู่ ม.4 ด้วยเหตุว่า อาจารย์ฝ่ายปกครองต้องค้นกระเป๋านักเรียน และกระเป๋าข้าพเจ้ามีหนังสือโป้กับบุหรี่ที่เพื่อนเอามาฝากไว้อยู่เต็ม (ช่วง ม.4 จำได้ว่าเป็นคนที่นับแต้มบนโต๊ะสนุกเกอร์ได้เก่งที่สุดในกลุ่ม) เคยหนีออกจากบ้านยายตอน ม.5 ตอนนั้นทำบ้านวอดเกือบทั้งหลัง เป็นช่วงที่ยาขยันกำลังเปลี่ยนชื่อจากยาม้า มาเป็นยาบ้า และราคาพอๆ กับกระทิงแดง 1 ขวดเท่านั้นเอง ผ่านไปเกือบ 3 เดือนข้าพเจ้าถึงได้ซมซานกลับมาบ้านได้ถูก พร้อมกับประกาศที่เขาติดไว้ทั่วไปหมด
สิ่งต่างๆ เหล่านี้แม่คงไม่รู้หรอก แม่ไม่ได้อยู่กับพวกเรา หลังจากที่พามาอยู่กับยายที่เชียงใหม่
เรื่องราวเกี่ยวกับข้าพเจ้าในระยะหลังเท่าที่แม่รู้ ทั้งหมดผ่านจากปากยายเพียงคนเดียว และเรื่องราวของแม่ที่ข้าพเจ้ารู้ก็ผ่านจากยายเพียงคนเดียวอีกเช่นกัน ซึ่งก็เพียงผิวเผิน
แล้วแม่จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ รู้แต่เพียงว่าแม่ยังอยู่ที่บ้านหลังเดิม ยังมีชีวิตอยู่กับสวนยาง นานแล้วที่เราห่างหายจากการสัมผัสซึ่งกันและกัน ติ่งหูที่ข้าพเจ้าชอบจับเล่นก่อนนอนจะยังคงนุ่มอยู่อีกหรือไม่ ผมที่ยาวสลวยของแม่จะมีสีขาวขึ้นมาแซมหรือยัง แม่จะแก่ลงบ้างไหม แต่ถึงอย่างไรแม่ก็ยังสวยอยู่เสมอในเสื้อลายลูกไม้สีฟ้าตัวนั้น แล้วเรื่องน้องคนใหม่ล่ะ แม่จะมีสักกี่คนแล้วจนป่านนี้ หากมีแล้วจะลืมพวกเราหรือเปล่า น้องซนขนาดไหน แต่แม่ก็อย่าร้องไห้ให้น้องเห็นเชียวล่ะ
เป็นเวลาเกือบสองปีแล้วที่ข่าวคราวของแม่เงียบหายไปจากยาย และมันก็นานถึง 17 ปีที่เราไม่ได้เจอกัน แต่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 เดือน ที่ชีวิตปั้นปลายของปริญญากรคนนี้จะสิ้นสุดลง
ข้าพเจ้ารู้แต่เพียงว่าแม่ตามหาพวกเราตลอดเวลา เพียงแต่เรายังไม่อาจพังทลายความลับที่ยายยังไม่ได้บอกเราเท่านั้นเอง ในระยะหลังจิตใจของลูกคนนี้เหมือนมีแม่มาคอยเรียกหาอยู่ใกล้ๆ เสมอ แม่ไม่เคยหยุดตามหาเราเลย น้องเองก็รู้สึกถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เพียงแต่เวลานี้แม่อาจล้าลงไปมาก เหนื่อยอ่อนลงไปมาก พักเสียเถิดแม่ หยุดเสียกับที่ แล้วลูกคนนี้จะสานต่อเอง
อีกไม่นานแล้วที่ข้าพเจ้าจะตามหาแม่ อย่างที่ท่านทำมาตลอด... เกือบ 17 ปี.