Skip to main content

คนรักเท่า ‘ผืนหนัง’ คนชังเท่า ‘ผืนเสื่อ’

คอลัมน์/ชุมชน

คำพังเพยข้างต้น ผมจำได้แม่นเป็นครั้งแรก จากคุณครูท่านหนึ่งสมัยเรียนมัธยมปลาย  ท่านเป็นทั้งครูประจำชั้น และครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ  อันที่จริง คำพังเพยนี้ ผมน่าจะเคยได้ยินมาตั้งแต่ชั้นประถมแล้ว แต่ไม่เคยใส่ใจ


 


มาจำได้แม่นเพราะคุณครูท่านนั้น ท่านบอกกับนักเรียนทั้งชั้น ในวันแรกที่เปิดเรียน ว่าท่านเป็นคนประเภท "คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ" คือมีนักเรียนที่รักท่านน้อย แต่มีนักเรียนที่เกลียดท่านเยอะ ซึ่งท่านก็บอกว่า ท่านตั้งใจสอนหนังสือโดยไม่เคยใส่ใจว่าใครจะรักหรือจะเกลียด 


 


ท่านเป็นคนที่รู้จักตัวเองครับ เพราะท่านเป็นคนอย่างนั้นจริงๆ  ทั้งจู้จี้จุกจิก เจ้าระเบียบ สั่งการบ้านเยอะ ออกข้อสอบยาก จ้ำจี้จ้ำไชนักเรียนจนขึ้นชื่อ สอนห้องไหนก็แทบจะเกลียดกันยกห้อง


 


ส่วนคนที่รักท่านก็มี ถึงแม้ไม่มาก แต่ก็รักและเคารพท่านจริงๆ วันสงกรานต์ปีใหม่ก็แวะไปขอพรท่าน บางคนเรียนจบไปตั้งหลายปีแล้ว ยังกลับมาเยี่ยมท่านก็มี


 


ตอนแรกๆ ที่เรียนกับท่าน ผมเป็นพวก "ผืนเสื่อ" แต่พอเรียนกับท่านไป แล้วปรากฎว่ากลายเป็นพวก  "ผืนหนัง" เพราะความรู้ภาษาอังกฤษของผม ซึ่งอยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางแย่ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เพราะการจู้จี้จุกจิกของท่าน


 


ที่ยกเอาเรื่องนี้มาคุย เพราะดูจากสถานการณ์ การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมติดตามผลการแก้ไขปัญหาความยากจน หรือ "ทัวร์นกขมิ้น" ของรักษาการนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คราวนี้ หนึ่งในจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ คงไม่พ้นการ "เช็คเรตติ้ง"ตัวเอง


 


ส่วนจุดประสงค์หลักนั้นจะเป็นการ "หาเสียง" หรือไม่ ก็แล้วแต่ใครจะตีความ แต่หลายสำนักก็ "ฟันธง" ไปแล้วว่า ถ้ามาอีหรอบนี้ก็ไม่พ้น "มุขเดิม"อีกแน่นอน


 


สิ่งที่น่าสนใจในการ เร่ร่อนไปนอนกลางดินกินกลางทรายกับชาวบ้านของ รักษาการนายกฯ ทักษิณ ในคราวนี้ ผมคิดว่าไม่ใช่ประเด็นเรื่อง "หาเสียงหรือไม่ ?"  เพราะทั้งๆ ที่หลายฝ่ายเคยโจมตีว่าเขาทำไม่เหมาะสม แต่เขาก็ยังทำ


 


เถียงเรื่อง "ถูกไม่ถูก" กับคนประเภท "แยกแยะผิดชอบชั่วดี"ไม่ได้ มันไร้ประโยชน์นะครับ


 


ผมว่าประเด็นที่น่าสนใจและน่าวิเคราะห์มากกว่าก็คือ "ยังมีคนรักทักษิณเหลืออยู่อีกสักกี่คน?" เพราะจะว่าไปแล้ว นับตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาทำหน้าที่นายกฯ เป็นสมัยที่ 2 เป็นต้นมา ปัญหาสารพัดอย่าง ถาโถมกระหน่ำเสียจนอย่าว่าแต่สร้าง "เรตติ้ง" เลย แค่ประคองตัวให้ผ่านพ้นไปได้ในแต่ละสัปดาห์ก็ยากลำบากระดับ "เลือดตาแทบกระเด็น"แล้ว


 


กระนั้น ก็ต้องยอมรับว่า คะแนนนิยมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในต่างจังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคเหนือและภาคอีสานนั้น ยังอยู่ในระดับที่ "ควรรักษาไว้ และน่าจะรักษาได้"  เพราะไม่ว่าจะเป็น "เลียลิตี้โชว์" ที่ อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด หรือ การเกณฑ์ประชาชนในภาคเหนือมาฟังท่านผู้นำบริภาษฝ่ายตรงข้ามในปริมาณที่ท่วมท้นจากการหาเสียงเลือกตั้งครั้งล่าสุด  ก็คงพอจะทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้างว่า ชาวบ้านเขาก็ยังรอ "ความหวัง" จากท่านอยู่


 


นั่นคือเหตุผลที่ การทัวร์นกขมิ้นคราวนี้ จึงสัญจรไปทั้งภาคอีสานและภาคเหนือ  แต่สำหรับเรตติ้งในเมืองกรุง หลังจากเหตุการณ์ไปช่วยลูกพรรคหาเสียง แล้วโดนแม่ค้าซอยละลายทรัพย์ ออกมาตะโกนไล่แล้ว คาดว่าท่านผู้นำคงเสียความมั่นใจไปมากโข


 


ก็ตอนนั้นละครับ ที่คนทั่วไปได้รู้ว่า  เมื่อท่านผู้นำเดินทางไปพบปะประชาชน การ "จัดฉาก"สร้างบรรยากาศเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการสร้างภาพลักษณ์ว่า "ชาวบ้านยังต้องการฉันอยู่นะ"


 


การสูญเสียความมั่นใจของท่านผู้นำ จนต้องหลบไปเลียแผลใจที่บ้านเกิด ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานสองประการคือ หนึ่ง แท้จริงแล้ว ท่านอาจ "ไม่รู้เลย" ว่า ชาวบ้านเขาไม่ได้ต้องการท่านจริงๆ หรอก แต่เป็นบริวารของท่านต่างหาก ที่เป็นคนดำเนินการจัดฉากขึ้นทั้งหมด ไม่ว่าจะจัดคนมายืนต้อนรับ จัดคนมอบของขวัญ เรื่อยไปจนแจกดอกไม้ให้ชาวบ้าน และสั่งให้ชาวบ้านเอาดอกไม้ไปมอบให้ท่านผู้นำ


 


อีกข้อสันนิษฐานหนึ่ง คือ ท่านอาจจะ "รู้อยู่แล้ว" ว่าเป็นการจัดฉาก แต่ท่านก็เต็มใจและยินดีที่จะให้


"ละคร" ดำเนินไป  ท่านจึงรับไม่ได้กับความจริงที่ปรากฎให้เห็น (คือการได้ยินคนตะโกนว่า ทักษิณ ออกไป)


 


แต่ไม่ว่าจะเป็นข้อสันนิษฐานแบบไหน ผมก็เห็นว่า สุดท้ายแล้ว รักษาการนายกฯ ทักษิณ ไม่อาจจะรู้


คำตอบได้เลยว่า "มีคนที่ยังต้องการคนชื่อทักษิณจริงๆ สักเท่าไร?"


 


นี่ไม่ได้หมายความถึงตัวเลขเป๊ะๆ นะครับ เอาแค่การประมาณการด้วยตัวเอง ก็ไม่มีทางรู้ได้เลย  ก็ในเมื่อลิ่วล้อทั้งหลายล้วนแต่มืออาชีพในการเอาใจนายอยู่แล้ว จะให้เหมาดอกกุหลาบมากี่พันดอก หรือเกณฑ์คนมาให้กำลังใจสักกี่พันคนก็ย่อมได้


 


คนเรา เมื่อมองไปทางไหน เจอแต่ฉากละครที่เขาสร้างเอาไว้ (ไม่ว่าจะรู้หรือไม่ก็ตาม) แล้วจะไปรู้ความจริงอันใดเล่าครับ?


 


ลองไม่เกณฑ์คน ไม่จัดฉากดูสิครับ จะได้รู้กันไปเลยว่า ยังมีใครรักและต้องการ "ทักษิณ"อยู่อีกเท่าไร


 


ในบรรดาคนที่ได้ชื่อว่าเป็น "บุคคลสาธารณะ" คือพวกที่มีชื่อเสียง และได้รับความนิยมจากประชาชนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น พวกดารา นักร้อง นางแบบ พิธีกร ผู้ประกาศข่าว ฯลฯ หรือ "นักการเมือง" ว่ากันว่า การที่เขาจะมีชื่อเสียงโด่งดังทะลุฟ้า หรือร่วงจมโคลน ก็ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับ "มติของมวลชน" หรือการสนับสนุนติดตามผลงานจากประชาชนเป็นสำคัญ


 


คนจำนวนหนึ่งรักษาสภาพดังกล่าวเอาไว้ได้นาน กลายเป็นดารายอดนิยมประเภท "ดาวค้างฟ้า" หรือนักการเมืองประเภท "ส.ส.สิบสมัย" แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อย ที่สร้างภาวะ "เสื่อม" ให้เกิดขึ้นด้วยตนเอง โด่งดังรุ่งเรืองอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วก็ทำตัวเสื่อมเสีย ปากเสียมั่ง พฤติกรรมย่ำแย่ (ทั้งๆ ที่ไม่เมา) มั่ง


 


พวกหลังนี่เห็นได้ไม่ยากครับ เพราะทำ "เสื่อม" เมื่อไรก็เป็นข่าวเมื่อนั้น


 


ปัญหามันมีอยู่ว่า คนจำพวกบุคคลสาธารณะนั้น มีจำนวนไม่น้อยที่ "ประเมินเรตติ้งตัวเองผิดพลาด" คือคิดว่า ฉันยังดัง ยังเด่น ยังมีชื่อเสียง ยังมีคนชอบอยู่ พูดอะไรโผงผางไปบ้าง หรือทำอะไรผิดไปบ้าง  ประชาชนก็ต้องให้อภัย  อย่างนี้ภาษาชาวบ้านเรียก "เหลิง" ครับ


 


พอเหลิงแล้วก็ไปใหญ่ ใครห้ามก็ไม่ฟัง ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ว่า ทำอะไรก็ไม่ผิด เชื่อว่าคนรักยังเท่า "ผืนเสื่อ" ส่วนไอ้พวกคนชังนั้นมันแค่ "ผืนหนัง"ยิ่งถ้ามีคนรอบข้างคอยเชียร์ และคอยเชลียด้วยแล้ว ก็หนีไม่พ้นสภาพ "ตาบอด หูหนวก" ทั้งๆ ที่ยังมองเห็นและยังได้ยินเสียง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ "ภาคเหนือ" อันเป็นถิ่นของท่านผู้นำด้วยแล้ว เสียงเชียร์มันคงจะดังจนหูหนวกกันไปข้างหนึ่งเลย


 


เท่าที่ผมทราบ ไม่ใช่ว่าคนเหนือทุกคนจะ "รักทักษิณ" นะครับ คนที่ผิดหวังจากนโยบายขายฝันของรัฐ  ที่ผ่านมาก็มีไม่น้อย ผมเคยไปร่วมประชุมเกี่ยวกับการแก้ปัญหาลำไยครั้งหนึ่ง ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรชาวสวนลำไย และผู้ประกอบกิจการลำไยอบแห้ง


 


การประชุมคราวนั้นได้หยิบยกเอานโยบายของรัฐที่จะช่วยแก้ไขปัญหาลำไยมาพูดถึง ก็ปรากฎว่าผู้เข้าร่วมประชุมที่แสดงความเห็นเกือบทั้งหมดนั้น ไม่พอใจกับการแก้ปัญหาของรัฐบาลเลย บางคนกล่าวอย่างมีอารมณ์ถึงการไม่รับผิดชอบต่อคำพูดของ รมว.เกษตรฯ และแสดงความผิดหวังต่อนายกฯ คนเหนือซึ่งพวกเขาฝากความหวังไว้อย่างมากมาย


 


ผมไม่รู้ว่า ภายใต้สภาพอันสงบและคาดเดายากของประชาชนไทยทั้งประเทศนั้น ลึกๆ ในใจแล้วแต่ละคนยังมีความคาดหวังกับ "พรรคไทยรักไทย" และผู้นำที่ชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร"อยู่อีกหรือไม่ และมากแค่ไหน เพราะ สภาพการณ์ในตอนนี้ช่างแตกต่างกับเมื่อครั้งที่พรรคไทยรักไทยตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้มากเหลือเกิน


 


ยังไม่ต้องคาดคะเนไกลถึงการเลือกตั้งหรอกครับ เอาแค่จากสถานการณ์ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็พอ  เพราะไม่ว่าจะเป็นประชาชนคนเดินถนน นักวิชาการที่เคยสนับสนุน หรือแม้แต่นักการเมืองลิ่วล้อผู้เคยรับใช้ใกล้ชิด


 


จากคนที่เคยมี "คนรักเต็มบ้านเต็มเมือง" แต่ด้วยคำพูดและการกระทำที่ผ่านมาของตนเอง ได้ค่อยๆ ผลักให้คนรักทั้งหลายไปอยู่ฝั่ง "ผืนเสื่อ" เรียบร้อยแล้ว