Skip to main content

เข้าพรรษา น้อมใจหาธรรมะและธรรมชาติ

คอลัมน์/ชุมชน

เข้าพรรษาปีนี้ ดิฉันได้มีโอกาสเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ๑๐ วัน ได้ฝึกการเจริญสติ รู้ตัวอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างต่อเนื่อง พิจารณาเห็นกฎไตรลักษณ์คือ อนิจจัง (ความไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา) ทุกขัง (ความทุกข์กาย ทุกข์ใจที่ทนได้ยาก เช่น ความเจ็บปวด ความกังวล ความเบื่อหน่าย ท้อถอย ง่วงเหงาหาวนอน) อนัตตา (ความไม่มีตัวตน บังคับควบคุมไม่ได้) เกิดปัญญา คลายจากการยึดติดในตัวตน รู้เท่าทันกิเลส ได้พิจารณาธรรมชาติแวดล้อมของวิปัสสนาสถาน ที่ช่วยให้ใจสงบสุข ปรับอินทรีย์ ๕ ให้มั่นคง มุ่งมั่นในเส้นทางธรรม และการใช้ชีวิตเพื่อกตัญญูต่อพระศาสนา ต่อพระเจ้าอยู่หัว ต่อแผ่นดิน เพื่อนมนุษย์ และสรรพสัตว์


 


วิปัสสนาจารย์ผู้เมตตาอย่างยิ่งคือคุณแม่ชีสัมฤทธิ์  ตรีสันเทียะ แม่ชีชุติมณฑ์ นาราศักดิ์ (แม่ชีตุ๊) พระมหาภิรมย์  โดยศาสตราจารย์กิตติคุณอำไพ  สุจริตกุล คุณแม่ทางธรรม ได้กรุณาแนะนำให้ดิฉันได้มาเป็นศิษย์ของคุณแม่ชีสัมฤทธิ์ หลังจากที่ได้นำเข้าอบรมหลักสูตรการเจริญสติเพื่อให้เกิดปัญญา และสันติ ของคุณแม่ดร.สิริ กรินชัย เป็นพื้นฐานตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๓๕ โดยดิฉันได้เข้าปฏิบัติธรรมกับแม่ชีศันสนีย์  เสถียรสุต ที่เสถียรธรรมสถานและหลักสูตรของพระอาจารย์อูจานาก้า ที่ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยด้วย


 


สภาพของวิปัสสนาสถาน ที่อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ แวดล้อมด้วยธรรมชาติอันสงบ เรียบง่าย โดยคุณมาโนช  รัศมีดารา เป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำจุน มีกุฏิอยู่ ๔ หลัง ผู้ปฏิบัติธรรมจะปฏิบัติเดี่ยวในกุฏิซึ่งมีห้องน้ำในตัว คุณแม่ชีสัมฤทธิ์ และแม่ชีตุ๊ ได้ช่วยกันปลูกกล้วย และ พืชผักพื้นบ้านนานาชนิด เอาไว้รอบที่ประมาณ ๒ ไร่ ท่านให้กล้วย ให้ข้าว และวางถาดดินใส่น้ำไว้ให้นกได้อาบน้ำ ที่นี่จึงมีนกนานาชนิด มีกระรอก จิ้งเหลน กบ เขียด ตุ๊กแก ผีเสื้อและแมลงต่าง ๆ มาอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย


 


คุณแม่ชีสัมฤทธิ์ และแม่ชีตุ๊ ดำเนินชีวิต โดยไม่ยึดติดทางโลก เป็นผู้สงบจากกิเลสอย่างแท้จริง ท่านใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดสูงสุด ท่านดูแลศิษย์ทุกคนที่มาปฏิบัติด้วยความเมตตาอย่างยิ่ง


 


ทุกครั้งที่เข้าปฏิบัติธรรม ดิฉันจึงได้ทั้งการเจริญสติรู้เท่าทันกิเลส และบำบัดความเหนื่อยล้าทางกาย ทางใจ ด้วยวิถีธรรมชาติ


 


การปฏิบัติประกอบด้วย การเดินจงกรม นั่งสมาธิ และการกำหนดอิริยาบถย่อย ตามดูสภาวะทางกาย ทางจิต ในครั้งนี้แม่ชีตุ๊กรุณาให้ดิฉันเริ่มด้วยการเดินระยะที่หนึ่ง ๓๐ นาที นั่ง ๓๐ นาที เมื่อสภาวะพร้อมจึงปรับเป็นเดินระยะที่สอง ๔๐ นาที นั่ง ๔๐ นาที แล้วปรับเป็นเดินระยะที่สาม เดิน ๔๕ นาที นั่ง ๔๕ นาที  จากนั้นปรับเป็นเดินระยะที่สี่ ๕๐ นาที นั่ง ๕๐ นาที


 


อาหารที่แม่ชีตุ๊กรุณาจัดให้ เป็นอาหารในแนวธรรมชาติที่ท่านทำเอง มื้อเช้า คือโยเกิร์ตผสมนมสด น้ำผึ้ง มะนาว กับน้ำกระชายสดที่ปลูกเอง ผสมน้ำผึ้ง มะนาว ช่วยระบายท้อง ทำความสะอาดลำไส้ ขับลมอย่างดี บางวันท่านเปลี่ยนเป็นข้าวต้ม ที่ใช้ข้าวดอยผสมข้าวเหนียวเล็กน้อย ทำให้น้ำข้าวต้มเหนียว เป็นยาง น่าทานมากขึ้น กินกับขิงดอง และปลาตัวเล็กตัวน้อย


 


เครื่องดื่มคือน้ำลูกสำรอง (ซึ่งลูกสำรองมีกากใย และมีคุณสมบัติในการแก้ร้อนใน แก้   เมาค้าง ลดอาการไข้ ลดความดันโลหิต แก้ไอ แก้ท้องเดิน และใช้พอกแก้อาการเจ็บตา) ท่านต้มกับน้ำตาลทรายแดง มีรสหวานปะแล่ม ๆ กินยามบ่ายที่อากาศร้อน ช่วยให้สดชื่นได้พลังงานเพิ่ม


 


น้ำกระเจี๊ยบแดงผสมพุทราจีน มีรสเปรี้ยว โดยไม่ต้องผสมน้ำตาล ช่วยให้ตาสว่าง ได้วิตามินซี ป้องกันหวัดได้ดี


 


อาหารกลางวันกับอาหารเย็น แม่ชีตุ๊กรุณาจัดใส่ปิ่นโตมาให้ตอนใกล้ ๑๑ โมง โดยผู้ปฏิบัติธรรมถือศีล ๕ กินน้อย  นอนน้อย มีกิจกรรมเกี่ยวกับร่างกายเพียงที่จำเป็น เช่น เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ เวลาทั้งหมดคือการเจริญสติอย่างต่อเนื่อง นอนเพียงวันละ ๓ – ๔ ชั่วโมง โดยเป็นไปตามธรรมชาติของสติที่ตื่น เข้มแข็ง ว่องไว


 


ระหว่างเดินจงกลม ดิฉันได้มองเห็นต้นกล้วยเล็ก ๆ ที่เพิ่งแตกใบแรก เป็นใบสีเขียวตองอ่อน ขอบสีชมพูเข้ม หยาดน้ำฝนที่พร่างพรมเกาะอยู่บนใบกล้วย เป็นต้นกล้วยและใบกล้วยที่งดงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา


 



 


ต้นกล้วยน้อยต้นนี้มีกราบที่เขียวนวล ขลิบชมพู เมื่อใบแรกตั้งอยู่ได้สัก ๓ วัน ใบที่สองที่ม้วนอยู่ ก็ค่อย ๆ คลี่แผ่เป็นใบใหม่ อีกสาม สี่ วัน ใบที่สามก็ม้วนตัวแตกขึ้นมาอีก แต่ยังไม่ทันคลี่ใบ ดิฉันก็ลากรรมฐาน เพราะครบกำหนด ๑๐ วันแล้ว


 


อานิสงส์แห่งการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ ทำให้มุ่งมั่นที่จะศึกษา ปฏิบัติ เผยแผ่ และสืบทอดธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มุ่งที่จะศึกษาแก่นธรรมของศาสนาอื่น ๆ เพื่อร่วมกันส่งเสริมให้ธรรมะค้ำจุนโลก ให้มนุษย์อยู่ร่วมกันด้วยสติ ปัญญา เมตตา กรุณา และอยู่ร่วมกับธรรมชาติด้วยความเคารพ กตัญญู ต่อธรรมชาติ อยากส่งเสริมให้คนไทยใช้ธรรมะในชีวิตและการทำงานมากขึ้น


 



 


เห็นต้นกล้วย พริกชนิดต่าง ๆ และต้นยอในวิปัสสนาสถานแล้ว อยากชักชวนให้ชาวไทยหันมาใช้ประโยชน์จากกล้วย พริก ลูกยอ ใบยอ และพืชผักพื้นบ้านชนิดต่าง ๆ เพื่อการพึ่งตนเองตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัวกันมากขึ้น


 


 


 


คุณหนึ่ง ธีระพันธ์  กันทะวัง เจ้าหน้าที่มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ได้กรุณาค้นข้อมูลของกล้วยมาให้ จาก เว็บไซด์ hospital.moph.go.th/bankhai/_private/banana.htm ทำให้อัศจรรย์ในประโยชน์มหาศาลของกล้วยซึ่งรักษาโรคได้ถึง ๑๗ โรค ดังนี้


"เรื่องกล้วย..กล้วย


มีอาหารว่างใดดีไปกว่ากล้วย อุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ ๓ ชนิดคือ ซูโครส  ฟรุคโทส  และกลูโคส  รวมกับเส้นใยและกากอาหาร กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด จากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ ๒ ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอกับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง ๙๐ นาที จึงไม่น่าแปลกใจที่กล้วยเป็นผลไม้อันดับหนึ่งของนักกีฬาชั้นนำระดับโลก  ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้น ยังช่วยเอาชนะและป้องกันโรคต่างๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรค จึงควรรับประทานทุกวัน


 


. โรคโลหิตจาง
ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือดและจะช่วยในกรณีที่มีสภาวะขาดกำลังหรือภาวะโลหิตจาง


. โรคความดันโลหิตสูง
มีธาตุโปแตสเซียมสูงสุดแต่มีปริมาณเกลือต่ำทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่จะช่วยความดันโลหิตมาก อย.ของอเมริกายินยอมให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วย สามารถโฆษณาได้ว่ากล้วยเป็นผลไม้พิเศษ  ช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิตหรือโรคเส้นเลือดฝอยแตก


. กำลังสมอง
นักเรียน ๒๐๐ คน ที่โรงเรียน Twickenham ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปีนี้ด้วยการรับประทานกล้วยในมื้ออาหารเช้าตอนพักและมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขา จากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าปริมาณโปแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วย สามารถให้นักเรียนมีการตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น


.โรคท้องผูก


ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูกโดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย


 


. โรคความซึมเศร้า
จากการสำรวจเร็ว ๆ นี้ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์เกิดจากความซึมเศร้าหลายคน จะมีความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า trypotophan เมื่อสารนี้เข้าไปในร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็น serotonin เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวผ่อนคลาย ปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ คือทำให้เรารู้สึกมีความสุขขึ้นเพิ่มขึ้นนั่นเอง


 


. อาการเมาค้าง
วิธีที่เร็วที่สุดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา
. อาการเสียดท้อง
กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับอาการเสียดท้องลองกินกล้วยสักผล คุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้


 


. ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า
การกินกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร จะรักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือดให้คงที่ เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า


. ยุงกัด
ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัด ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด มีหลายคน พบอย่างมหัศจรรย์ว่าเปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้


๑๐. ระบบประสาท
ในกล้วยมีวิตามินบีสูงมาก ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้ โรคน้ำหนักเกินและโรคที่เกิดในที่ทำงานจากการศึกษาของสถาบันจิตวิทยาในออสเตรียค้นพบว่าความกดดันในที่ทำงาน เป็นเหตุนำไปสู่การกินอย่างจุบจิบ เช่น อาหารพวกช็อคโกแลตและอาหารประเภททอดกรอบต่าง ๆ


ในจำนวนคนไข้ ๕,๐๐๐ คน ในโรงพยาบาลต่างๆ นักวิจัยพบว่าส่วนใหญ่ เป็นโรคอ้วนมากเกินไป และส่วนใหญ่ทำงานภายใต้ความกดดันสูงมาก


จากรายงานสรุปว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการตื่นตระหนก และนำไปสู่การกินอาหารอย่างบ้าคลั่ง เราจึงต้องควบคุมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณคาร์โบโฮเดรตสูง เช่น กินกล้วยทุก ๒ ชั่วโมง เพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องยา การกินกล้วยที่มีวิตามินบี ๖ ซึ่งประกอบด้วยสารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ได้


๑๑. โรคลำไส้เป็นแผล
กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุมเพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะเนื้อของกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดีเป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคลำไส้เรื้อรังและกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคืองและยังไปเคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย


๑๒. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
ในวัฒนธรรมของหลายแห่ง เห็นว่ากล้วยคือผลไม้ที่สามารถทำให้อุณหภูมิเย็นลงได้ ทั้งทางร่างกายและจิตใจโดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง


ตัวอย่างในประเทศไทย จะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวัน เพื่อให้แน่ใจว่าทารกที่เกิดมาจะมีอุณหภูมิเย็น


๑๓. ความสับสนของอารมณ์เป็นครั้งคราว
กล้วยสามารถช่วยในเรื่องของอารมณ์และความสับสนได้ เพราะในกล้วยมีสารตามธรรมชาติ trypotophan ทำให้อารมณ์ดี


๑๔. การสูบบุรี่
กล้วยสามารถช่วยคนที่กำลังพยายามเลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากในกล้วยมีปริมาณของวิตามินซี เอ บี ๖ และบี ๑๒ ที่สูงมาก และยังมีโปแตสเซียมกับแมกนีเซียมที่ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นคืนตัวได้เร็ว อันเป็นผลจากการลดเลิกนิโคตินนั่นเอง


๑๕. ความเครียด
โปแตสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ  การส่งออกซิเจนไปยังสมองและปรับระดับน้ำในร่างกาย เวลาเกิดอารมณ์เครียด อัตรา metabolic ในร่างกายของเราจะขึ้นสูง และทำให้ระดับโปแตสเซียมในร่างกายของเราลดลง แต่โปแตสเซียม ที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิดความสมดุล


 


๑๖. เส้นเลือดฝอยแตก


จากการวิจัยที่ลงในวารสาร "The New England Journal of Medicine" การกินกล้วยเป็นประจำสามารถลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง ๔๐ %



๑๗.โรคหูด
การรักษาหูดด้วยวิธีทางเลือกแบบธรรมชาติ โดยการใช้เปลือกของกล้วยวางปิดลงไปบนหูด แล้วใช้แผ่นปิดแผลหรือเทปติดไว้ ให้ด้านสีเหลืองของเปลือกกล้วยออกด้านนอก ก็จะสามารถรักษาโรคหูดให้หายได้



เห็นหรือไม่ว่า กล้วยรักษาโรคต่างๆ อย่างธรรมชาติได้มากมาย ท่านควรลองพิสูจน์ด้วยตัวเองบ้างว่าจะได้ผลตามที่กล่าวหรือไม่ และเมื่อเปรียบเทียบแอปเปิ้ลแล้ว กล้วยมีโปรตีนมากกว่าแอปเปิ้ล ๔ เท่า มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า ๒ เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า ๓ เท่า มีวิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า ๕ เท่า และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่น มากกว่าอีก ๒ เท่า และกล้วยยังอุดมด้วยโปแตสเซียม กล้วยจึงเป็นหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุด


ดังนั้น ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เคยกินแอปเปิ้ลวันละผลทุกวันไม่ต้องไปหาหมอ  หันมาคุ้นเคยกับคำว่า "กินกล้วยวันละผล ก็ไม่ต้องไปหาหมอ" นอกจากนี้มีคนที่เคยเป็นตะคริวที่เท้า ข้อเท้า และน่อง แนะนำให้กินกล้วยทุกวัน ตั้งแต่นั้นมาไม่เป็นตะคริวอีกเลย"


 


ส่วนพริกกับใบยอและลูกยอก็มีประโยชน์มากมาย ท่านผู้อ่านหาข้อมูลได้จาก www.google.co.th แล้วพิมพ์คำว่า พริก,ลูกยอ หรือสิ่งที่ต้องการค้นหาข้อมูลแล้วคลิกค้นหา ท่านก็จะได้ข้อมูลตามที่ต้องการค่ะ


 


ขอให้ท่านเข้าถึงธรรมะ ธรรมชาติ และภูมิปัญญาไทยให้มากขึ้น ในช่วงเข้าพรรษาปีนี้ค่ะ