Skip to main content

โคตรรักเอ็งเลย : เรื่องรักฉบับ "สับขาหลอก"

คอลัมน์/ชุมชน

๒๔ ๑/๖


 


ผมไม่ใช่แฟนผลงานของคุณพิง ลำพระเพลิง


 


ผมมีหนังสือของเขาอยู่เล่มนึง (ซึ่งตัวเองไม่ได้ซื้อ แต่มีน้องที่รู้จักมักจี่เขาซื้อให้เมื่อวันเกิด) ผมก็อ่านหนังสือของเขา แล้วพบว่างาน "ตลก" สไตล์ของเขานั้นไม่ค่อยเข้าทางผมสักเท่าไหร่


 


ผมเคยรู้มาบ้างว่าแกเคยเขียนบทและกำกับละครโทรทัศน์ แต่ไอ้บรรดาละครที่แกกำกับเนี่ย ผมไม่เคยคิดอยากจะดูเลย... ผมว่า "กลิ่น" มันออกตุๆ พิกล


 


แต่ผมก็เคยได้ยินเรื่องราวชีวิตคู่ของเขาที่จบลงด้วยโศกนาฏกรรมมาบ้าง รวมถึงได้รู้จากสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ ว่า คุณพิงนำ "ส่วนหนึ่ง" ของชีวิตคู่ของตัวเองมาใส่ไว้ในหนัง "โคตรรักเอ็งเลย"...ซึ่งเหตุนี้แหละ ที่ทำให้ผมชักจะสนใจหนังเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่เคยปวารณาตัวเองเป็นแฟนผลงานของคุณพิงเลย


 



 


อาจจะเป็นเพราะผมเชื่อว่างานที่ถูกสร้างมาจากเรื่องจริงนั้น มักจะเป็นงานที่มีอะไรพิเศษบางอย่าง โดยเฉพาะเมื่อได้ทราบว่าคุณพิงถึงขนาดที่กำกับไป ร้องไห้ไป...ก็ยิ่งทำให้ผมคิดว่าผมคงต้องยอมเสียตังค์ให้กับหนังเรื่องนี้เสียแล้ว


 


เมื่อชบาแก้ว – แฟนสาวร่างล่ำสันของผมมาชวนให้ไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยกัน (สลับกับการเอางวงตบผมเบาๆ ในทำนองว่า "ถ้าแกไม่ไปดูกะฉัน แกโดนงวงคู่นี้ฟาดแน่ๆ...เอ่อ ข้อความในวงเล็บนี้ ผมล้อเล่นนะจ๊ะที่รัก - -")  ผมจึงตอบตกลงทันที ต่างจากครั้งอื่นๆ ที่เธอเคยชวนผม (หลังจากที่ก่อนหน้านั้น คุณเธอพยายามฉุดกระชากลากถูให้ผมไปดู "ม. ๘" และ "แกงค์ชะนีกับอีแอบ" แต่ผมก็สามารถหลบหลีกคำขอของเธอด้วยข้ออ้างว่า "เอ่อ...ที่รักจ๊ะ พี่เห็นบรรดาคุณเธอทั้งหลายทุกเช้าจนเบื่อแล้วอ่ะ...อย่าให้สาวๆ แกงค์นี้มาหลอกหลอนพี่อีกเลยL)pyp[hkpyยัย


 


แต่เมื่อเข้าไปดูแล้ว ความรู้สึกจากหนังเรื่องนี้ ต่างไปจากที่ผมรู้สึกจากการได้ดูโฆษณาหนังทางโทรทัศน์อยู่พอสมควรทีเดียว...


 


หนังเล่าเรื่องชีวิตผัว-เมียละเหี่ยใจของรงค์ (อุดม แต้พานิช) นักเขียนบทละครตลกที่อาชีพกำลังถึงตาจน กับแดง (วิสา สารสาส) ที่เริ่มมีปัญหาเนื่องจากความ "เปลี่ยนไป" ของทั้งคู่ ทั้งความ "เสื่อม" ของรงค์ที่ทั้งตด ทั้งเรอ ไม่เหมือนกับ "เจ้าชายในฝัน" ในจินตนาการของแดง ในขณะที่แดงก็จิตใจหวั่นไหวไปกับหมอตรวจภายในที่เริ่มมีใจให้


 




 


ช่วงแรกของหนังจบลงที่เมื่อแดงตัดสินใจบอกเลิก และเก็บข้าวของจากบ้านของรงค์ และประสบอุบัติเหตุขับรถตกเขา...


 


ในช่วงแรกของหนังนั้นปูเรื่องเหมือนกับที่เราได้เห็นหนังเรื่องนี้ผ่านสื่อต่างๆ นั่นคือการฉายภาพให้เห็น "ปัญหา" ของชีวิตคู่ที่เกิดจากความชาชิน อันเป็นปัญหาสุดคลาสสิกของคู่รักทุกคู่


 


แต่เมื่อจบช่วงแรกของหนังไปแล้ว...ถ้าคุณยังไม่ได้ดู แต่ตั้งใจว่าจะไปดูหนังเรื่องนี้ ผมขอเตือนว่าถ้าจะไปดูจริงๆ ขอแนะนำให้คุณเตรียมหมวกกันน็อกเข้าไปในโรงหนังด้วยก็ดีครับ เพราะหนังหลังจากนี้จะเปลี่ยนอารมณ์ไปมา จากหนังชีวิตอยู่ดีๆ กลายเป็นหนังชีวิต/ตลก/เขย่าขวัญ สลับไป-สลับมาจนหนังจบ...จนอาจทำให้คุณงงจนหัวทิ่มได้


 


ผมขอเรียกวิธีนี้ว่า "สับขาหลอก" ครับ


 


จริงๆ การ "สับขาหลอก" เนี่ย ถ้ามีแต่พอดี ก็สร้างสีสันให้กับหนังได้ดีครับ แต่ถ้ามันมีมากไป ก็ชวนให้หงุดหงิดเหมือนกัน


 


ผมขออธิบายการ "สับขาหลอก" ของหนังเรื่องนี้กับการดูฟุตบอลนะครับ


 



ตอนนี้เราเห็นนักฟุตบอลฝีมือดีคนหนึ่งในสนาม เขากำลังโชว์ลีลาหลอกล่อนักฟุตบอลฝ่ายตรงข้าม ด้วยลีลาการ "สับขาหลอก"อย่างพลิ้วไหว ท่ามกลางเสียงเชียร์ของผู้ชมทั้งสนาม


 


เขายังคง "สับขาหลอก" ล่อหลอกนักฟุตบอลฝ่ายตรงข้ามต่อไป จนกระทั่งนักฟุตบอลฝ่ายตรงข้ามฉวยจังหวะแย่งลูกไปได้


 


แต่แทนที่คุณนักบอลฝีมือดีคนนี้จะวิ่งไปแย่งบอลกลับมาเป็นของตัวเอง ดันวิ่งไป "สับขาหลอก" ไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจว่าตอนนี้บอลไปอยู่ที่ใครแล้ว


 


เวลาผ่านไปสักยี่สิบนาที นักบอลคนนั้นก็ยังคง "สับขาหลอก" ไปเรื่อยๆ จนคนดูเริ่มดูไป หาวหวอดๆ ไป พร้อมทั้งนึกในใจว่า "แกจะสับขาหลอกทำแป๊ะอะไรฟะ รีบๆ วิ่งเข้าหาบอลได้แล้วเฟ้ย"


 


ผ่านไปได้สักพัก โค้ชทีมฟุตบอลตัดสินใจเปลี่ยนตัวนักบอลจอม "สับขาหลอก" ออกจากสนาม


 


...แต่จนแล้วจนรอด ระหว่างที่แกเดินออกจากสนาม แกก็ยังคง "สับขาหลอก" อยู่นั่นแหละ แถมพอแกมาอยู่ที่ม้านั่งนอกสนามแล้ว แกยังแอบสับขาให้เห็นเป็นระยะๆ อีก เอากะพ่อแกสิ...


 


ด้วยเหตุนี้ กว่าที่หนังเรื่องนี้จะจบ หลายคนคงจะหงุดหงิดกับหนังเรื่องนี้ เพราะความ "ไปไม่สุดสักทาง" ของมัน (จะดราม่าเข้มๆ ก็ไม่ใช่ จะเป็นตลกเต็มสูบก็ไม่ใช่อีก...แถมยังมีเรื่องผีสางมาอีก สรุปแล้ว...จะเอายังไงกันแน่ฟะ)


 


แต่ถ้าคุณรับตรงนี้ได้...หนังเรื่องนี้ก็จัดว่าอยู่ในขั้นดูกันได้เพลินๆ แม้ว่าการกระทำของตัวละครหลายๆ ตัวในหนังจะดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ (แถมบทสนทนาหลายๆ อันในเรื่องจะ "เลี่ยน" มากๆ จนถึงขั้น "โคตรเลี่ยนเลยเอ็ง" อีกแฮะ) หรือหลายๆ เหตุการณ์จะดู "ไม่น่าเชื่อ" เอาเสียมากๆ...แต่เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบก็พบว่า บางทีการที่หนังดำเนินไปอย่างไม่ค่อยน่าเชื่อ ไปจนถึงตอนจบที่ happy ending นั้น คุณพิงอาจมีเหตุผลที่หนังเป็นอย่างนั้น...


 


ที่ผมคิดอย่างนั้น เพราะผมรู้สึกว่าภาพที่เราได้เห็นในหนังนั้น อาจจะเป็นภาพที่คุณพิงอาจอยากเห็นมันเกิดขึ้นกับชีวิตคู่ของตัวเอง กับคนที่ในปัจจุบันไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว...


 


ซึ่งถ้ามองหนังเรื่องนี้ เป็นจดหมายขอโทษที่คุณพิง "เขียนถึงคนบนฟ้า" คนนั้น...หนังเรื่องนี้ก็เป็นหนังที่ดีครับ


 


หมายเหตุ: รูปประกอบบทความชิ้นนี้นำมาจาก http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/newmovie/loveaholic/love.html ครับ